|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แมนูไลฟ์เห็นกระแสขาขึ้นสินค้าโภคภัณฑ์เปิดกองใหม่ลงทุนหุ้นทั่วโลก 3 กลุ่มหลัก ทั้งกลุ่มน้ำมัน-พลังงานทดแทน, กลุ่มทองคำและโลหะมีค่า และกลุ่มวัตถุดิบพื้นฐาน เน้นหุ้นไซซ์เล็ก-กลาง คาดระยะยาวผลตอบแทนจากบริษัทจะสูงกว่าราคาในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีในการสร้างกำไรได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วก็คือการลงทุนแบบ "ตามน้ำ" Trend Following เมื่อโวลุ่มมา ราคาเริ่มขึ้น นั่นก็เป็นสัญญาณแล้วว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ว่าไปแล้วก็เหมือนกับกระแสของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่ร้อนแรงมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
อลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่าบริษัทได้เปิดเสนอขาย "กองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ โกลบอลรีซอร์ส เอฟไอเอฟ" ระหว่างวันที่ 9-15 พ.ค. 2551 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ลักษณะเป็น Feeder Fund นำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนในกองทุนหลักที่ชื่อ " Minulife Global Fund-Global Resources (Share Class AA)" ซึ่งจัดตั้งโดยบริษัท Societe Generale Asset Management (SGAM) ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศลักเซมเบิร์ก
"กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์หลัก 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มน้ำมัน-พลังงานทดแทน, กลุ่มทองคำและโลหะมีค่า และกลุ่มวัตถุดิบพื้นฐาน ซึ่งเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่ราคามีความสัมพันธ์กันไม่มาก เหมาะแก่การกระจายเสียง และสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีระยะยาว เพราะเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ไปลงทุนหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์"
กลยุทธ์ของกองทุนนี้คือ เน้นลงทุนหุ้นที่มีสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) ต่ำ และมีอัตราการเติบโตสูง ซึ่งนอกจากบริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนด้านส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ด้าน ราเฟล ดูบาส์ ผู้จัดการกองทุน บลจ.โซซิเอเต้ เจเนอราล (ซอคเจน) ผู้บริหารจัดการกองทุนหลัก กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในขาขึ้นมาโดยตลอด สำหรับกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่แม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในระยะยาว 2-3 ปี การลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กจะให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตัวสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นขนาดใหญ่ เพราะนอกจากราคาหุ้นที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น ยังได้ประโยชน์จากการเติบโตของบริษัท รวมถึงการควบรวมกิจการ เนื่องจากหุ้นหลายตัวมีพีอีต่ำ
จากสถิตพบการลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตหาหกรรมทั้ง 3 ประเภท ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในดัชนี MSCI World ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2542 - 31 มี.ค.2551 ดัชนี MSCI World ให้ผลตอบแทน 92.15% ในขณะที่ดัชนี MSCI Enercy ให้ผลตอบแทน 213.74% และดัชนี MSCI Gold Mine ให้ผลตอบแทน 237.29% จะเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 3 ประเภท มีผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับดัชนี MSCI World ดังนั้นกองทุนจะปรับน้ำหนักให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน
พูดได้ว่าในระยะยาวแล้วการลงทุนที่ Active กว่าเช่นนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนโดยตรงในสินค้าโภคภัณฑ์
ปัจจุบันกองทุนหลักได้ลดน้ำหนักลงทุน กลุ่มอุตสาหกรรมทองคำลงจากต้นปีอยู่ที่ 38% เหลือ 28% โดยเพิ่มการลงทุนกลุ่งพลังงานขึ้นเป็น 33% แลคงการลงทุนกลุ่มวัตถุดิบพื้นฐาน ไว้ที่ 37% ซึ่งเราจะปรับเพิ่ม หรือปรับลดน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา โดยเน้นเลือกหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นหลักการจัดพอร์ตลงทุนแบบนี้ทำให้กองทุนมีผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 31.53% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2550
นี่คือโอกาสทำกำไรในช่วงวัฎจักรขาขึ้น แต่จากนี้ไปมันจะขึ้นต่ออีกนานแค่ไหน...ไม่มีใครรู้
|
|
|
|
|