Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน12 พฤษภาคม 2551
เงินนอกหมื่นล.จ่อลุยอสังหาฯโบรกฯหวังรัฐออกกม.ชัดเจน-ฟื้นบรรยากาศ             
 


   
search resources

Real Estate
อลิวัสสา พัฒนถาบุตร




โบรกเกอร์ระดับโลกในไทยระบุ ต่างชาติสนลงทุนอสังหาฯในไทยเพียบ วอนรัฐสร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดี ออกกฎหมายต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ ด้านฮาริสันฯเจรจาดึงเงินนอกเข้าไทยกว่า 10,000 ล้านบาท

น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนของชาวต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยว่า ที่ผ่านมาเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบของนักลงทุนและหรือผ่านกองทุนอสังหาฯ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ อเมริกา ส่วนนักลงทุนตะวันออกกลางยังถือว่ามีจำนวนน้อย นอกจากนี้ การลงทุนมีแนวโน้มสูงขึ้นจากการยกเลิกกันสำรอง 30% ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายการลงทุนมาที่แถบเอเชียโดยเฉพาะไทยมากขึ้น

ส่วนปัจจัยหลัก ที่ทำให้อสังหาฯไทยน่าลงทุน คือ ราคาที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเมืองอื่นในภูมิภาคเดียวกัน แม้แต่เวียดนามเองยังมีราคาที่สูงกว่าไทย อีกทั้งชาวเวียดนามจะไม่ยอมขายที่ดิน แต่จะเป็นการร่วมทุนกับชาวต่างชาติมากกว่า นอกจากนี้กฎหมายที่เวียดนามยังมีความเข้มงวดสูง ขณะที่ผลตอบแทนจาการลงทุนในไทยอยู่ในระดับสูง7-8% นอกจากนี้มูลค่าอสังหาฯไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-7% บางโครงการซื้อขายแลกเปลี่ยนมือเพื่อทำกำไร 2-3 ครั้งก่อนโอนกรรมสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเป็นอุปสรรค์ต่อการลงทุนในไทยนั้น คือความไม่ชัดเจนของกฎหมาย มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการเมืองที่ไม่มั่นคง ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการในระยะยาวคือ สร้างบรรยายกาศในการลงทุนเพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติ และแม้แต่นักลงทุนไทยเอง เพื่อให้บรรรยากาศการลงทุนดี ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น

“รัฐบาลจะออกกฎหมายที่เข้มงวดมากก็ได้ ต่างชาติไม่กลัว ถ้าสามารถปฏิบัติตามได้ แต่กฎหมายที่ออกมาต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือและเปลี่ยนแปลงปล่อย”

นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมียอดขายโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% และจากอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะทำให้เกินเป้ายอดขายที่วางไว้ที่ 12,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท

โดยในส่วนของผู้ซื้อรายย่อยนั้น จะมีการตอบรับต่อเนื่องทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งกลุ่มนี้จะเน้นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง แต่ขณะนี้พบว่า สินค้า(ซัปพลาย)มีปริมาณลดลง ขณะที่ความต้องการยังมีต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะที่ที่ดินในทำเลที่เหมาะสมและมีศักยภาพเริ่มน้อยลง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านการเมืองที่ยังมีความตรึงเครียด ส่งผลให้ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดน้อยลง

“ราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น ไม่ได้เป็นปัจจัยทำให้การลงทุนน้อยลง แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้สินค้าราคาแพงขึ้น แต่ก็เป็นไปตามกลไกของตลาด”

นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่นั้น ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการซื้อเพื่อลงทุน หรือการเข้ามาลงทุนพัฒนาอสังหาฯทั้งที่ร่วมทุนกับคนไทย กลุ่มที่ลงทุนอยู่แล้ว และกลุ่มที่จะพัฒนาตลาดเฉพาะ ซึ่งกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างสูง โดยปัจจุบัน บริษัทฮาริสันฯอยู่ระหว่างเจรจากับนักธุรกิจอสังหาฯจากเกาหลี 2 ราย, มาเลเซีย 2 ราย, สิงคโปร์ และอาหรับเอมิเรตส์ เกี่ยวกับการเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรม คอนโดฯ และสนามกอล์ฟในประเทศไทย มูลค่ารวมมากกว่าหมื่นล้านบาท ในเบื้องต้นคาดว่าจะเข้ามาลงทุนในปีนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาทบริเวณย่านทองหล่อและพญาไท

"พฤติกรรมของนักลงทุนที่เข้าม จะเข้ามาลงทุนในรูปแบบซื้อครั้งละ 10-20 ยูนิต เพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ แต่กลุ่มนี้จะขอลดราคามาก 15-20% แต่ส่วนใหญ่จะลดให้สูงสุดไม่เกิน 10%

อสังหาฯ ไทยสู้เพื่อนบ้านได้

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด ( AREA) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน ว่า ประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านคู่แข่งสำคัญของไทย มีดีที่มีน้ำมัน โดย65% ของอสังหาฯที่พัฒนาในมาเลเซียคือที่อยู่อาศัย คล้ายคลึงกับไทย ซึ่งAREA ได้สำรวจไว้ว่า มีประมาณ 70% ปีที่แล้ว มีที่อยู่อาศัยเกิดใหม่ 52,570 หน่วยทั่วประเทศ ต่ำกว่าไทย

อาคารชุดใจกลางเมืองรอบ ๆ สถานีรถไฟฟ้าก็เติบโตสูงมาก ราคาแพงสุดของเขาตกเป็นเงินหน่วยละ 30-80 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดทั่วไปราคาตารางเมตรละ 65,000 – 90,000 บาท ซึ่งก็คล้ายกับไทย

ในกรณีอสังหาฯเชิงพาณิชย์ มาเลเซียมีพื้นที่สำนักงานมากกว่าไทยคือ 14.5 ล้านตร.ม. (คงรวมสำนักงานขนาดเล็กไปด้วย) และมีพื้นที่ศูนย์การค้าประมาณ 8.6 ล้านตร.ม. โดยค่าเช่าตกตร.ม.ละ 1,600 – 7,500 บาท

ประเทศสิงคโปร์ ราคาอาคารชุดพักอาศัยได้เพิ่มขึ้นถึง 30.4% ราคาสูงสุดตร.ม.ละ 1 ล้านบาท ในด้านอสังหาฯเชิงพาณิชย์ ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกในศูนย์การค้าก็เพิ่มขึ้น 18% ในรอบปีที่ผ่านมา โดยค่าเช่าตกเป็นเงินตร.ม. 7,500 – 15,000 บาท (ของไทยอยู่ที่ 2,000 บาท) ส่วนสำนักงานก็เพิ่มค่าเช่าพื้นที่ไป 29% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเช่าเฉลี่ยขณะนี้ตกเป็นเงิน 5,400-7,500 บาทต่อตร.ม. (ของไทยอยู่ที่ 600 บาท)

ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยฐานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า มีพื้นที่อาคารสำนักงานเพียง 3.5 ล้านตร.ม.ในเขตมหานครจาการ์ตา(กรุงเทพฯมีพื้นที่สำนักงานถึง 8 ล้านตร.ม. )   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us