|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักวิเคราะห์ ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้สดใส รับ 3 ปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง ระบุดัชนีมีโอกาสวิ่งยาวถึง 980 จุด หากสามารถฝ่าแนวต้านสำคัญที่ 853 จุดได้ ขณะที่ "เอสโซ่" เข้าเทรดวันแรก มั่นใจยืนเหนือราคาจอง แม้จะไม่หวือหวานัก ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 13.00-13.75 บาท
บรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ทยอยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่นักลงทุนเองยังคงกังวัลและจับตามองปัจจัยด้านการเมืองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยบวก 3 ประการ คือ ประการแรก การลดดอกเบี้ยเฟดลง 0.25% ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาตลาดหุ้นจะได้รับผลดีหลังจากเฟดลดดอกเบี้ยแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์ ประการที่สอง หุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารเป็นช่วงปรับขึ้นตามการวิเคราะห์ทางเทคนิค หลังจากปรับฐานไปก่อนหน้านี้ เพราะแนวโน้มผลประกอบปีนี้ที่ยังดีอยู่และราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับจะช่วยหนุนกลุ่มพลังงาน
ประการสุดท้าย ผลประกอบบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นได้ แต่ต้องติดตามนักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมาหรือไม่ โดยประเมินแนวรับที่ 830 จุด และแนวต้านที่ 860-865 จุด แนะนำเลือกลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มเดินเรือและอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเล่นเก็งกำไรได้
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ปัจจัยด้านการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวผันผวน โดยเฉพาะเรื่องที่อัยการจะพิจารณากรณียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยสอดคล้องกับสำนวนที่กกต.ส่งมาหรือไม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อัยการจะเห็นด้วยและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินชี้ขาดต่อไป
สำหรับปัจจัยภายนอกที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยประเมินแนวรับที่ 830 จุด และแนวต้านที่ 850 จุด
ด้านทีมวิเคราะห์ทางเทคนิคและกลยุทธ์การลงทุน บ.ล.ไอร่า คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 853 จุดอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะเป็นแนวต้าน Neck Line ขนาดใหญ่ของแนวโน้มในระยะกลางที่ฟอร์มตัวมากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นรูปแบบ Head&Shoulder Bottom ที่มีความกว้างระหว่าง Neck Line กับ Head อยู่ระหว่าง 130 จุด หมายถึง หากมีการ Break Out แนวต้านที่ 853 จุดขึ้นไปได้ก็จะมีแนวต้านเป้าหมายของแรง Momentum ในระดับ 1X อยู่ที่บริเวณ 980 จุดเป็นอย่างน้อย และหุ้นที่ขึ้นในรอบนี้จะเป็นการกระจายตัวขึ้นในหลายๆ กลุ่ม
เอสโซ่มั่นใจเทรดวันแรกเหนือจอง
วันนี้ (6 พ.ค.) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติรับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนและซื้อขายเป็นวันแรก ในกลุ่มทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขาย "ESSO" หลังจากเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันรวมทั้งสิ้น 930.42 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายแมนพงษ์ เสนาณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายตลาดทุน บล.ภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การซื้อขายหุ้น ESSO ในตลาดหุ้นวันแรกน่าจะยืนเหนือราคาไอพีโอที่หุ้นละ 10 บาทได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี อาทิ อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี ความต้องการซื้อหุ้นมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายหลายเท่า และการเสนอขายหุ้นส่วนเกิน (กรีนชูออปชัน)
"นักลงทุนน่าจะให้ความสนใจหุ้นเอสโซ่ ทำให้ราคาหุ้นสูงกว่าราคาจองได้ แต่คงไม่หวือหวามากนัก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผลในเดือนมิ.ย.นี้ ในอัตราหุ้นละ 1 บาท"
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า วันแรกหุ้นเอสโซ่น่าจะยืนเหนือราคาจองได้ แต่ราคาจะปรับตัวขึ้นไม่เกินหุ้นละ 11-12 บาท โดยคาดว่าจะคึกคักในช่วงช้า ก่อนที่จะซบเซา เพราะนักลงทุนต้องการลงทุนระยะยาว เพื่อรอรับเงินปันผล ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานปีนี้ไม่เกิน 13 บาท ซึ่งไม่มีส่วนต่างจากราคาไอพีโอมากนัก ทำให้นักลงทุนไม่สนใจเข้ามาลงทุนเก็งกำไร
ด้านบทวิเคราะห์บล.สินเอเซีย ประเมินว่า ปี 2551 คาดว่าเอสโซ่จะมีกำไรลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 5,951 ล้านบาท เนื่องจากสมมติฐานค่าการกลั่นปี 51 ที่ 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงตามภาวะอุตสาหกรรมการกลั่น ทำให้กำไรขั้นต้นของธุรกิจปิโตรเคมีอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 8.6% จาก 9.3% ในปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่หุ้นละ 1.72 บาท จะได้ราคาเป้าหมายที่ 13.75 บาท ซึ่งราคาจองที่ 10 บาท ทำให้มีส่วนต่างจากราคาเป้าหมายประมาณ 37%
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในระดับ 10% เป็นปัจจัยบวกในการลงทุน ESSO ในระยะสั้น แนะนำซื้อเก็งกำไร
ขณะที่ทีมวิเคราะห์ทางเทคนิคและกลยุทธ์การลงทุน บ.ล.ไอร่า ระบุว่า เอสโซ่มีจุดเด่นที่มีกลุ่มเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และสนับสนุนเรื่องเทคโนโลยี และเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำมันครบวงจรทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ผลิตปิโตรเคมี และขายปลีก โดยมีสถานีบริการน้ำมันของตนเอง ขณะที่ราคา IPO ที่ 10 บาท คิดเป็นมาร์เก็ตแคป 3.4 หมื่นล้านบาท และคิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 4.8 เท่าจากผลการดำเนินงานปี 2550 และคาดจะมีเงินปันผล 1 บาท คิดเป็น 10% แนะนำTrading ราคาเป้าหมาย 13 บาท
บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 16,693 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,383.33 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 4.9338 บาท โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรกหลังเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป ได้แก่ อันดับ 1 กลุ่มผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทในเครือของเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น จำนวน 2,199.16 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 65% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ลดลงจากก่อนขายไอพีโอที่มี 2,283.75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 87.50%
อันดับ 2 Morgan Stanley & Co. International PLC ในฐานะผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchaser) รับซื้อ 456,749,900 หุ้น หรือประมาณ 13.5% ของทุนชำระแล้ว เพื่อที่จะไปจำหน่ายแก่นักลงทุนต่างประเทศ
อันดับ 3 กระทรวงการคลัง 253.75 ล้านหุ้น หรือ 7.50 % ลดลงจากก่อนขายไอพีโอ 326.25 ล้านหุ้น หรือ 12.50% อันดับ 4 อยุธยา อลิอันซ์ ซี. พี. ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 15.5 ล้านหุ้น หรือ 0.46% จากก่อนหน้าไม่ได้ถือหุ้น อันดับ 5. American International Assurance Company Limited - AIA D-PLUS จำนวน 13.63 ล้านหุ้น หรือ 0.40%
|
|
|
|
|