|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
วิกฤตเงินเฟ้อมาเยือน เผย เม.ย. 6.2% พุ่งสูงสุดในรอบ 23 เดือน “พาณิชย์” บอกน้ำมันต้นเหตุหลัก ทำรายจ่ายคนไทยเพิ่ม แถมกระทบชิ่งทำต้นทุนสินค้ารายการอื่นๆ เพิ่มตาม “ศิริพล”เผยแนวโน้มเดือนหน้าขึ้นหรือลด ก็ว่าไปตามจริง เหตุมีปัจจัยกดดันเพียบ ทั้งน้ำมัน น้ำตาล และค่าแรงจ่อปรับ พร้อมเปลี่ยนเป้าเงินเฟ้อทั้งปีใหม่เป็น 5-5.5%
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ประจำเดือนเม.ย.2551 เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สูงขึ้น 1.8% และเมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.2550 สูงขึ้น 6.2% สูงสุดในรอบ 23 เดือนนับจากเดือนพ.ค.2549 แต่ไม่สูงสุดในประวัติศาสตร์ เพราะเคยสูงถึง 8.1% ในปี 2541 และเกิน 20% ในช่วงเกินวิกฤตน้ำมัน ส่วนเงินเฟ้อเมื่อเทียบเฉลี่ย 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) กับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สูงขึ้น 5.3%
“สาเหตุหลักที่ทำให้เงินเฟ้อเดือนเม.ย.นี้ สูงขึ้นมาก เพราะน้ำมันที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก โดยก่อนหน้านี้น้ำมันคิดเป็น 5.3% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่มาเดือนนี้ขึ้นเป็น 9.91% และสาเหตุย่อยก็มาจากน้ำมันที่ทำให้สินค้าตัวอื่นๆ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร ที่อิงกับน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต และการขนส่ง”นายศิริพลกล่าว
ทั้งนี้ เงินเฟ้อในเดือนเม.ย.ที่เทียบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ที่เพิ่มขึ้น 1.8% นั้น เป็นเพราะดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 3.4% สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว สูงขึ้นตามความต้องการของการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ ไก่สด ไข่ ผักและผลไม้ราคาสูงขึ้น เช่น กะหล่ำปลี ผักคะน้า ผักชี มะเขือเทศ มะนาว ขึ้นฉ่าย และต้นหอม และอาหารสำเร็จรูปบางรายการที่เพิ่มสูงขึ้นตามอาหารสด เช่น ก๋วยเตี๋ยว กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และโจ๊ก ส่วนเนื้อสุกรมีราคาลดลงเล็กน้อย
ขณะที่ดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.8% จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามภาวะราคาตลาดโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับสูง โดยมีการปรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศหลายครั้งทั้งเบนซินและดีเซล ส่งผลให้ดัชนีหมวดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น 4.5% และยังมีการสูงขึ้นของค่าโดยสารในท้องถิ่น ค่าโดยสารรถจักรยานยนต์รับจ้าง
นายศิริพลกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนพ.ค. กระทรวงพาณิชย์ยืนยันจะเก็บข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และยึดหลักวิชาการ แม้ว่าในเดือนหน้าจะมีแรงกดดันหลายๆ ตัว ทั้งราคาน้ำมัน การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย และมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ โดยตัวเลขเงินเฟ้อที่ได้ หากสูงก็ต้องสูง ต่ำก็ต่ำ จะไม่มีการบิดเบือน
“การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย ไม่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อมากนัก โดยมีน้ำหนักในเงินเฟ้อเพียง 0.11% แต่จะกระทบโดยอ้อมไปยังสินค้ารายการอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม นมข้นหวาน ขนมหวาน และลูกอม เป็นต้น ก็ต้องไปดูว่าผลกระทบจะมีเท่าไร”
ส่วนเงินเฟ้อทั้งปี กระทรวงพาณิชย์ได้มีการปรับประมาณการเป้าหมายใหม่ จากเดิม 3-3.5% เพิ่มเป็น 5-5.5% เนื่องจากสมมุตฐานต่างๆ ได้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะราคาน้ำมันจากเดิมที่ตั้งไว้เฉลี่ย 85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาเกินกว่า 100% สหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ทั้งนี้ สมมุตฐานเงินเฟ้อดังกล่าว คิดจาก น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 100-105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ย 3.25% และหากสมมุตฐานต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่อีกครั้ง
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สูงขึ้น 0.6% เทียบกับเดือนเม.ย.2550 สูงขึ้น 2.1% และเฉลี่ย 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สูงขึ้น 1.6%
สินค้าเกษตรพุ่งดันเงินเฟ้อต่อ
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย. 51 ที่ขยายตัว 6.2 % ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงแต่ก็เหมาะสมเพราะต้องยอมรับว่าราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงมากโดยเฉพาะข้าว และล่าสุดยังมีราคาน้ำตาลทรายอีก ดังนั้นผลจากปัญหาดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการมีแรงกดดันจากต้นทุนที่ปรับขึ้นรวมไปถึงการปรับค่าจ้างแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูง ดังนั้นอาจเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ลดกำไร ลดขนาด หรือคุณภาพสินค้าต่อหน่วยลง เพื่อลดต้นทุนการผลิต
“หากผู้ประกอบการเลือกแก้ปัญหาด้วยการขึ้นราคาสินค้าจะเป็นวิธีการที่ทำได้ทันที แต่บางธุรกิจอาจขึ้นราคาได้ลำบากเพราะตลาดมีการแข่งขันอย่างเสรีการขึ้นราคาไปอาจทำให้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดได้เช่นกัน แต่สำคัญหากขึ้นราคาจะเป็นแรงผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้อีก”
|
|
|
|
|