"บลจไทยพาณิชย์"ชี้ธุรกิจกองทุนปีลำบากมากขึ้น เหตุแบงก์พาณิชย์ออกแคมเปญดึงเม็ดเงินไม่ให้ไหลออกจากระบบ แถมเศรษฐกิจฉุดเม็ดเงินออมออกจากกระเป๋านักลงทุน ล่าสุดเตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายเอ็นเอวีกองทุน LTF และ RMF เพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท สอดรับภาครัฐออกมาตรการทางภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ ยืนยันกองทุนพันธบัตรเกาหลียังน่าสนใจ เพราะผลต่างของผลตอบแทนยังมีอยู่ อีกทั้งเม็ดเงินลงทุนจากไทยที่เข้าไปนั้นยังมีสัดส่วนแค่เล็กน้อย
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้จะลำบากขึ้น เพราะว่า 1.ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมีการระดมเงินฝากมากขึ้น โดยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจูงใจ สาเหตุที่กระทบเพราะว่าประชาชนมีทางเลือกในการลงทุน เมื่อเทียบกับเงินฝาก 2.จังหวะที่ตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในยุโรป (ECP) ครบกำหนดอายุ และผลตอบแทนลดลงเท่ากับพันธบัตรรัฐบาล แม้เดือนกุมภาพันธ์จะมีกองทุนพันธบัตรเกาหลีเข้ามาช่วย 3.ภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ทำให้เงินออมถูกเอาไปใช้จ่ายแทนการออม 4.ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่มีผันผวนในเชิงลบ อัตราดอกเบี้ยมีการติดลบจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ลูกค้าตัดสินใจไม่ถูกในการเลือกลงทุน และมีการชะลอการลงทุนออกไป แต่คาดว่าไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวดีขึ้นเพราะมีกองทุนพันธบัตรเกาหลีเข้ามาช่วย
ทั้งนี้ มองว่าการแนวโน้มการออกกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลียังไปได้ดี และยังมีโอกาสในการลงทุนอีกมาก และในแง่ของซัปพลายของพันธบัตรเกาหลีไม่มีปัญหา เพราะเกาหลีใต้มีลักษณะคล้ายไทยที่ยังต้องพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าเม็ดเงินที่ประเทศไทยนำไปซื้อพันธบัตรเกาหลีแล้วมีน้อยมากเพียง 50,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐแล้วเป็นเพียง 2-3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น อีกทั้งส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยยังมีอยู่ โดยพันธบัตรเกาหลีสามารถให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 3.5-3.7% ขณะที่พันธบัตรไทยให้ผลตอบแทนที่ 2.5% ดังนั้นถ้าอัตราดอกเบี้ยยังทรงอยู่ก็ยังมีโอกาสเข้าไปลงทุนได้อีก แต่ต้องดูธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ แต่มีแนวโน้มว่าเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะว่ามีอัตราเงินเฟ้อมากดดันอยู่ และหากอัตราดอกเบี้ยยังห่างเกิน 0.50% ขึ้นไปก็ยังสามารถลงทุนในพันธบัตรเกาหลีได้
นอกจากนี้ บริษัทจะปรับเป้าใหม่ทั้งหมดในเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการเปลี่ยนวิธีการเท่านั้น แต่บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาความเป็นอันดับ 1 ไว้ต่อไปได้ซึ่งภายหลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการทางภาษีที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้สามารถหักลดหย่อนเงินลงทุนในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จาก 300,000 บาทเป็น 500,000 บาทนั้น บริษัทเตรียมขยายฐานของกองทุนรวมทั้ง 2 ประเภท เป็น 50,000 ล้านบาท โดยเพิ่มจากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดรับกับมาตรการใหม่นี้ จึงได้จัดกิจกรรมโปรโมชั่นส่งเสริมการลงทุน และแนะนำบริการเสริมใหม่ เพื่อเพิ่มเติมความสะดวกและกระตุ้นให้นักลงทุนสามารถลงทุนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ปัจจุบัน บริษัทมีกองทุนรวมหุ้นระยะยาวทั้งหมด 6 กองทุน มีสินทรัพย์สินสุทธิรวมกันประมาณ 15,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพมีทั้งหมด 4 กองทุน และมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยจากการวิเคราะห์ฐานลูกค้าพบว่าหากเข้าถึงฐานลูกค้าเดิมที่มี 300,000 บาท เพิ่มเป็น 500,000 บาทแล้วลูกค้าที่ซื้อ 200,000 บาท และลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยเข้ามาซื้อกองทุนรวมประเภทนี้ โดยเฉพาะในช่วงยิ่งภาวะเศรษฐกิจแย่ จะทำให้นักลงทุนอาจจะต้องลงทุนเพิ่ม เพื่อการได้รับการยกเว้นภาษีมากขึ้น แต่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะว่ากรมสรรพากรมีการเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้สิทธิขอคืนภาษีมากขึ้น
สำหรับกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจลงทุนตลอดทั้งปีนั้น บริษัทจะจัดแคมเปญ LTF – RMF ไทยพาณิชย์ลดหย่อนภาษี ขับขี่ปลอดภัย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 โดยเมื่อลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF ตั้งแต่ 60,000 บาท แต่ไม่ถึง 120,000 บาท รับ Gift Voucher มูลค่า 300 บาท ตั้งแต่ 120,000 บาทแต่ไม่ถึง 600,000 บาท รับแฮนด์ฟรี บลูทูธ มูลค่าตั้งแต่ 990- 2,170 บาท และหากลงทุน 600,000 บาทขึ้นไป รับ IPod Shuffle 2 GB มูลค่า 3,090 บาท ซึ่งสามารถนับยอดลงทุนรวมทั้งกองทุนรวม LTF และกองทุนรวม RMF ซึ่งย้อนหลังได้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2551
ส่วนที่ 2 บริการเสริมที่แนะนำเพิ่มเติมได้แก่ บริการที่ 1.ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อซื้อกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เพียงมีจำนวนเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อครั้ง และรวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีต่อประเภทลงทุน ทั้งนี้ในช่วงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 นักลงทุนที่ชำระผ่านบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ทุก 200 บาท จะได้รับคะแนนสะสม เพิ่มจากปกติเป็น 4 เท่า (ช่วงปกติทุก 200 บาท หากชำระผ่านบัตร Platinum หรือ Titanium จะได้คะแนนสะสม 2 คะแนน บัตร Gold หรือ Silver จะได้คะแนนสะสม 1 คะแนน)
ขณะที่บริการที่ 2. คำสั่งซื้อหน่วยลงทุนแบบประจำวันผ่านการตัดบัญชีเงินฝาก “Planning Smart Order” ซี่งเป็นลักษณะการสั่งซื้อกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF โดยตัดจากบัญชีออมทรัพย์ไทยพาณิชย์ ที่นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถระบุระยะเวลาในการลงทุน ทั้งในรูปแบบรายเดือน หรือตามระยะเวลาที่กำหนด เพียงมียอดการตัดบัญชีขั้นต่ำต่อครั้ง 1,000 บาท ด้วยวิธีดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนมีความสะดวก เพียงแค่ทำรายการระบุการสั่งซื้ออัตโนมัติที่ธนาคารในครั้งแรกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการลงทุนครั้งเดียว
|