Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 เมษายน 2551
พรีเมียร์ฯจ่อคิวเทรด27พ.ค.นี้เร่งล้างขาดทุนสะสมพันล้าน             
 


   
search resources

พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง, บจก.
สมชาย ชุณหรัศมิ์
Consumer Products




พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง เตรียมเข้าตลาดเทรดวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ เผยแผนหลังระดมทุนเร่งล้างขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจเต็มที่ มุ่งเน้นธุรกิจอาหารและสแน็ค เปิดกว้างทั้งร่วมทุน ร่วมมือ ทำเอง ตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10%

ดร.สมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริษัท พรีเมียร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือพีเอ็ม เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯหลังจากนำบริษัทพีเอ็มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้แล้ว มีแผนที่จะขยายธุรกิจเต็มที่ โดยการระดมเงินทุนนั้นจะนำมาใช้ในการชำระหนี้สินสะสมที่มีอยู่รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปี และเงินทุนอีกส่วนหนึ่งนำมาใช้ในการขยายธุรกิจ

โดยหนี้สินสะสมหลักๆนั้นคือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ ประมาณ 500 ล้านบาท และบริษัทแม่คือพีเอ็มอีกกว่า 500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในสัดส่วน 50% ของกำไรสุทธิ

ส่วนแผนการระดมทุนนั้น เดิมพีเอ็มมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ชำระเต็ม และมีการออกหุ้นใหม่อีกเพื่อเสนอให้กับนักลงทุน 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนของพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง จำนวน 150 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท และ หุ้นสามัญเดิมของบจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ จำนวน 65 ล้านหุ้น หรือประมาณ 33% ส่วนอีก 67% นั้นยังคงถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นใหม่เดิม

ทั้งนี้แผนการขยายธุรกิจ จะเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรและหาคู่ค้ามากขึ้น ตลอดจนพัฒนาสินค้าของตัวเองมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าในเครือ 60% และสินค้านอกเครือ 40% จะปรับเป็น 50% เท่ากัน และยังคงเน้นไปที่อาหารและสแน็ค เพราะเป็นฐานรายได้หลัก และเรามีความพร้อมเต็มที่ ทั้งประสบการณ์กว่า 30 ปี ช่องทางกระจายสินค้ากว่า 30,000 แห่ง ซึ่งแบ่งช่องทางเป็น โมเดิร์นเทรด 53% เทรดดิชันนัลเทรด 38% และหน่วยรถขาย 9%

สินค้าสแน็คหลักคือ ทาโร่ ทำรายได้กว่า 50% ของรายได้รวม โดยเป็นผู้นำตลาด 68.5% ของมูลค่าตลาดปลาเส้น 1,304 ล้านบาท คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะเพิ่ม 10% เป็น 1,434 ล้านบาท จากตลาดขนมขบเคี้ยวโดยรวมมากกว่า 14,250 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 15,582 ล้านบาทในปีนี้

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในช่วง 3 ปีย้อนหลังนั้นเติบโตตลอดเฉลี่ย 10% โดยปี 2550 มีรายได้ 2,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2549 ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 2,459 ล้านบาท ขณะที่ปี 2548 มีรายได้ 2,170 ล้านบาท ส่วนผลกำไรนั้น ในปี 2550 มีกำไร 207 ล้านบาท เติบโต 40% จากปี 2549 ที่มีกำไร 148 ล้านบาท และปี 2548 มีกำไร 96 ล้านบาท ซึ่งจากนี้ไปคาดหวังว่าทั้งรายได้และผลกำไรต้องเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี

ดร.สมชายกล่าวว่า รายได้ดังกล่าวมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าประมาณ 1,611 ล้านบาท หรือประมาณ 58-60% ของรายได้รวม และรายได้จากบริษัทในสายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของกลุ่มกับรายได้อื่นๆอีก 1,683 ล้านบาท หรือ 40-42% ของรายได้รวม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักคือ ทาโร่ถือเป็นตัวทำรายได้หลักมากกว่า 50%

สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นของ บมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง คือ 1. บจก.พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล (พีเอฟซี) ถือหุ้น 85% 2. บจก. พรีเมียร์ เพ็ท โพรดักส์ (พีพีพี) ถือหุ้น 15% (ซึ่งพรีเมียร์เพ็ทนี้ถือหุ้น โดย พีเอฟซี 100%) ซึ่งบริษัทนี้ ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินธุรกิจอะไรแล้วปล่อยให้รายอื่นเข้ามาเช่าที่ดินและโรงงาน เครื่องจักรประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ บมจ. พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จะเข้าไปถือหุ้นใน 3 บริษัทลูกแห่งละ 100% คือ บจก.พีเอ็มฟู้ดส์ (พีเอ็มเอฟ) ผลิตอาหารว่างสำเร็จรูปจากเนื้อปลา ทาโร่, บจก..พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ (พีซีไอ) ผลิตปลาทูน่าสำเร็จรูปและซอสปรุงรสคิงส์คิทเช่น และบจก.พรีเมียร์ โฟรเซ่น โพรดักส์ (พีเอฟพี) ผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และอาหารพร้อมรับประทาน

ปัจจุบันพีเอ็ม มีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่าย 5 กลุ่ม ทั้งที่ผลิตและเป็นแบรนด์ของบริษัทฯเอง เช่น ปลาเส้นทาโร่ ลูกอมคอริฟฟินซี ซอสคิงส์คิทเช่น เป็นต้นมีสัดส่วนรายได้ 60% กับสินค้าที่รับจัดจำหน่ายของนอกเครือ สัดส่วนรายได้ 40% ประกอบด้วย 1.ขนมขบเคี้ยว 2.ลูกอม 3.อาหารเครื่องดื่ม 4.เม็ดอมและอาหารเสริม 5.ของใช้ส่วนตัวและเครื่องใช้ในครัวเรือน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us