Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์28 เมษายน 2551
LG ปลุกตลาดพลาสม่า โหมกิจกรรม เอ็ดดูเคตผู้บริโภค             
 


   
www resources

โฮมเพจ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย)

   
search resources

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย), บจก.
Electric




LG ส่งพลาสม่า 32 นิ้ว ชิงตลาดแอลซีดีทีวี ทุ่ม 60 ล้านบาท เดินสายโรดโชว์ จัดกิจกรรมให้ความรู้ เปรียบเทียบเทคโนโลยีพลาสม่าและแอลซีดีทีวี ยืดอายุตลาดพลาสม่าที่แอลจีครองความเป็นผู้นำอยู่ในปัจจุบัน พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถใช้เป็นมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์และมีช่องต่อ USB Port ขยายตลาดสู่โลกไซเบอร์ โดยเน้นกลยุทธ์ราคาต่ำกว่าแอลซีดี 10-20%

ตลาดจอแบนบางหรือ Flat Panel Display ที่ประกอบด้วย พลาสม่าทีวี และ แอลซีดีทีวี เป็นตลาดที่มีอัตรการเติบโตที่สูง โดย 3-4 ปีที่แล้ว เป็นยุคเริ่มต้นของตลาดจอแบนบาง ซึ่งพลาสม่าเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าเนื่องจากมีราคาถูกกว่าแอลซีดีทีวี 2-3 เท่า แต่เมื่อหลายค่ายหันมาให้ความสำคัญกับแอลซีดีทีวี จึงมีกระแสโปรโมต สร้างการรับรู้จนผู้บริโภคหันมาให้ความเชื่อถือเทคโนโลยีแอลซีดีทีวี จนเกิด Economy of Scale ทำให้สินค้ามีราคาที่ถูกลง จนมีสัดส่วนในตลาดสูงกว่าพลาสม่าทีวี

โดยแอลซีดีทีวี 32 นิ้วถือเป็นตัวพลิกตลาดแฟลตพาแนลทีวีจากยุคของพลาสม่ามาสู่ยุคของแอลซีดีทีวี อีกทั้งแอลซีดีทีวียังสามารถลบข้อจำกัดทางเทคโนโลยีด้วยการผลิตหน้าจอขนาดใหญ่มาชนกับพลาสม่า ส่งผลให้เส้นแบ่งทางเทคโนโลยีที่เคยถูกจำกัดอยู่ที่หน้าจอขนาด 37 นิ้ว ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50 นิ้ว ซึ่งปัจจุบันแอลซีดีทีวีที่มีขนาดเกิน 50 นิ้วจะมีราคาแพงกว่าพลาสม่าทีวีค่อนข้างมากกว่าเมื่อเทียบกับช่องว่างของราคาที่หน้าจอขนาดเล็ก จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่ายผู้ผลิตพลาสม่าส่วนใหญ่ขยับขึ้นไปผลิตจอที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 นิ้ว ซึ่งจะเป็นการยากที่จะเข้าถึงตลาดโฮมยูสเนื่องจากมีราคาที่แพง ดังนั้นที่หน้าจอขนาดใหญ่จึงต้องมีการโฟกัสตลาดเป็นพิเศษ เช่นกลุ่มลูกค้าพรีเมียม กลุ่มลูกค้าองค์กรอย่างสถาบันการศึกษา หรือโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งก็จะถูกไล่ล่าโดยแอลซีดีต่อไป

ดังนั้นแอลจีจึงหันมาพัฒนาหน้าจอพลาสม่าทีวีขนาด 32 นิ้วเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ เนื่องจากปริมาณความต้องการในตลาดแฟลตพาแนลทีวีกว่า 65% เป็นหน้าจอขนาด 32 นิ้ว ส่วน 42 นิ้ว มีความต้องการ 20%

โดย LG มีการซอยเซกเมนต์กลุ่มผู้บริโภคออกเป็น 4 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มมินิมอล ซึ่งเน้นสินค้าราคาถูก กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มแวลูแมกซิไมเซอร์ เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มสไตลิสต์ ซึ่งให้ความสำคัญกับแบรนด์สินค้าที่เลือกซื้อ และกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มพรีเมียมซีกเกอร์ ที่เน้นเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยทั้ง 4 กลุ่มมีสัดส่วนในตลาด 10%, 40%, 25% และ 25% ตามลำดับ ซึ่งแอลจีจะให้ความสำคัญกับผู้บริโภค 2 กลุ่มหลัง เนื่องจากมีกำลังซื้อสูงและมีรสนิยมในการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ จึงไม่ไหวเอนไปกับสงครามราคา อีกทั้งยังสอดคล้องกับแบรนด์โพสิชันที่มุ่งไปสู่ Stylish Design & Smart Technology

ขณะเดียวกันก็ยังมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการกลุ่มแวลูแมกซิไมเซอร์ด้วย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนสูงที่สุด อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ฐานลูกค้าเหล่านี้ยกระดับวิถีชีวิตตัวเองให้สูงขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น

อย่างไรก็ดีกลุ่มพรีเมียมซีกเกอร์ยังรวมเอากลุ่ม Early Adapter เข้าไว้ด้วย ซึ่งมีไม่ถึง 5% ของผู้บริโภคทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี พร้อมที่จะรับนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น สินค้าประเภททีวีในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีจึงซื้อเครื่องใหม่ แต่กลุ่ม Early Adapter อาจจะเปลี่ยนทีวีเร็วกว่า 5 ปี

“ผู้บริโภคถูกปลุกกระแสให้ซื้อเทคโนโลยีเพื่อรองรับอนาคต แต่เมื่อซื้อไปกลับพบว่าไม่ได้คุณภาพที่ผู้บริโภคต้องการ เช่น แอลซีดีทีวีซึ่งรองรับสัญญาณสูงกว่าระบบออกอากาศทางทีวีในบ้านเรา ทำให้เกิดเม็ดสัญญาณรบกวน ในขณะที่พลาสม่าทีวีไม่มีปัญหา หรืออย่างกรณี Full HD ก็ดี ถ้ารอซื้อในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาก็จะลงมามากกว่าในปัจจุบัน อีกทั้งระบบส่งสัญญาณทีวีบ้านเราก็อาจจะมีความพร้อมสำหรับสัญญาณ Full HD มากกว่านี้ ซึ่งจะให้สัญญาณภาพที่มีคุณภาพที่ดีและคุ้มค่ามากกว่าการซื้อเพื่อรออนาคต” ฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้จัดการอาวุโสการตลาดผลิตภัณฑ์หมวดจอภาพและเสียง แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าว

แอลจีมีการใช้งบการตลาดกว่า 60 ล้านบาทในการรุกตลาดพลาสม่าทีวี โดยแบ่งเป็นงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ 30% และงบกิจกรรมการตลาดอีก 70% ทั้งนี้เพื่อสร้างการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลาสม่าทีวีและแอลซีดีทีวี ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ผลิตแอลซีดีทีวีมีการให้ข้อมูลในด้านบวกของแอลซีดีทีวีจนทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าแอลซีดีทีวีเหนือกว่าพลาสม่าทีวี

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 2 เทคโนโลยีต่างมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน เช่น แอลซีดีให้ความคมชัดของภาพที่ละเอียดกว่า แต่ถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหวเร็วๆหรือภาพยนตร์จะเหมาะกับจอพลาสม่ามากกว่า ส่วนกรณีที่ว่าพลาสม่ามีหน้าจอที่ร้อนกว่านั้น ผู้บริหารแอลจี ชี้ว่าแอลซีดีเองก็มีความร้อน เพียงแต่อยู่ด้านหลังเครื่อง และแม้ว่าพลาสม่าจะมีความร้อนหน้าจอ แต่ที่ระดับหน้าจอ 42 นิ้วขึ้นไป ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะนั่งห่างออกไปอย่างน้อย 3.เมตรอยู่แล้วจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบ

ปัจจุบันตลาดทีวีโดยรวมมีปริมาณความต้องการ 3.3 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่า 30,770 ล้านบาท โดยตลาดทีวีในกลุ่มจอแบนบางหรือ Flat Panel Display ซึ่งประกอบด้วย พลาสม่าทีวีและแอลซีดีทีวีมีอัตราการเติบโตที่สูง โดยคาดว่าปริมาณความต้องการพลาสม่าทีวีในปีนี้จะอยู่ที่ 60,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 2,477 ล้านบาท ส่วนแอลซีดีทีวีคาดว่าจะมีปริมาณความต้องการอยู่ที่ 550,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่า 14,750 ล้านบาท

“สัดส่วนระหว่างพลาสม่าและแอลซีดีทีวีที่เคยอยู่ที่ 80:20 เปลี่ยนมาเป็น 15:85 ซึ่งคาดว่าสัดส่วนจะไม่เปลี่ยนไปจากนี้มากนัก แต่พลาสม่าทีวีก็ยังอยู่ได้และยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เพียงแต่โตน้อยกว่าพลาสม่าทีวี ดังนั้นเมื่อมีโอกาสแอลจีก็ยังคงทำตลาดต่อไป โดยเราจะต้องให้ข้อมูลเปรียบเทียบแก่ผู้บริโภค” ฉันท์ชาย กล่าว

นอกจากจะเป็นการต่อชีพจรให้กับพลาสม่าทีวีแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในการเป็นผู้นำตลาดเนื่องจากแอลจีครองส่วนแบ่งการตลาดพลาสม่าทีวีเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 35% ในขณะที่พานาโซนิคมี 33% ตามด้วยซัมซุง 25% และไพโอเนียร์ 3% ซึ่งล่าสุดไพโอเนียร์ได้ปิดโรงงานผลิตจอพลาสม่าโดยหันไปซื้อหน้าจอจากผู้ผลิตรายอื่น เพื่อลดต้นทุน ทว่าเทคโนโลยีที่เคยเหนือกว่าคู่แข่งอาจจะด้อยลงไปด้วย เพราะก่อนหน้านี้ไพโอเนียร์เคยได้ชื่อว่ามีหน้าจอพลาสม่าที่ให้เฉดสีดำดีที่สุดในตลาด

ในขณะที่พานาโซนิคเริ่มหันมาทำตลาดแอลซีดีทีวีควบคู่ไปด้วย โดยยังคงใช้เส้นแบ่งทางเทคโนโลยีที่ขนาดหน้าจอ 37 นิ้ว แต่ยังคงเน้นพลาสม่าทีวีโดยเน้นที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่า 42 นิ้ว ซึ่งในปีนี้จะมีการลอนช์พลาสม่าทีวีรุ่นใหม่ไม่ต่ำกว่า 5-6 รุ่น โดยเกาะไปกับกระแสการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ซึ่งอาจจะมีการทำโรดโชว์พร้อมนำพลาสม่าทีวี 103 นิ้ว Full HD ราคา 3-4 ล้านบาทมาโปรโมตสร้างภาพลักษณ์ เช่นเดียวกับซัมซุงที่มีการทำแคมเปญ เอวีโรดโชว์ ควบคู่ไปกับการทำโปรโมชั่นต่างๆไม่ว่าจะป็นการแถมเครื่องเล่นดีวีดีหรือแคมเปญเงินผ่อน 0% 6 เดือน หรือ 1% 12 เดือน ล่าสุดมีการนำพลาสม่าทีวี 50 นิ้ว ที่สามารถเล่นหนังระบบ 3 มิติได้เมื่อชมด้วยแว่น 3 มิติ มาจำหน่ายในงานเพาเวอร์บายเอ็กซ์โป 2008

ด้วยกระแสแอลซีดีทีวีที่ยังคงมาแรง ประกอบกับสัดส่วนพลาสม่าทีวีที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับแอลซีดี ดังนั้นหลายๆค่ายยังคงต้องใช้เรื่องของราคาที่ต่ำกว่าแอลซีดีในการทำตลาดพลาสม่าทีวี ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีให้แตกต่าง โดยแอลจีใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการรุกตลาดพลาสม่า ซึ่งขนาด 32 นิ้วจะต่ำกว่าแอลซีดี 10% โดยรุ่นถูกสุดของแอลจีมีราคาอยู่ที่ 19,990 บาท ส่วนพลาสม่าจอใหญ่จะมีราคาถูกกว่าแอลซีดี 20% เช่นหน้าจอ 42 นิ้วมีราคาเริ่มต้นที่ 39,000 บาท รุ่น 50 นิ้วราคา 69,000 บาท และรุ่น 60 นิ้วมีราคา 89,000 บาท

นอกจากนี้ยังพัฒนาพลาสม่าให้สามารถใช้เป็นมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ได้ พร้อมกับมีช่องต่อ USB Port เพื่อให้พลาสม่าทีวีสามารถใช้งานเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นได้เหมือนแอลซีดีทีวี ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มไซเบอร์ได้ เพียงแต่แอลจีมิได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการขยายช่องทางจำหน่ายพลาสม่าทีวีสู่ร้านค้าไอที

แอลจีมีการพัฒนา Shop Display ตามจุดขายกว่า 500 แห่ง พร้อมกับเดินสายโรดโชว์ เพื่อเอ็ดดูเคตให้ผู้บริโภครับรู้ถึงจุดเด่นของพลาสม่าทีวี โดยมีการทำแคมเปญ EYE LOVE PLASMA ตลอดทั้งปี เพื่อโปรโมตพลาสม่ารุ่นใหม่ 11 รุ่น โดยมีตั้งแต่รุ่นราคาถูกไปถึงรุ่นพรีเมียมอย่าง EDGE ที่ดีไซน์หน้าจอด้วยกระจกแผ่นเดียว ซ่อนขอบหน้าจอ ซ่อนลำโพง สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ 150 เฮิร์ตซ์ ซึ่งดีกว่าแอลซีดีทีวีที่ส่วนใหญ่ปรับปรุงภาพเคลื่อนไหวได้เพียง 100 เฮิร์ตซ์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us