|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ไทยประกันภัย" ยอมถอนสมอ ประกันภัยรถยนต์ต่ำกว่า 1800 ซีซี ปรับเบี้ยเป็นระลอกหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ถือโอกาสเบียดแทรกพื้นที่ สาขาธนาคารทหารไทย ซุ่มเป็นฐานขยายตลาด ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 พิเศษ และประเภท 5 มาตรฐาน ควบคู่ไปกับขยายตลาดนอน มอเตอร์ และเพิ่มช่องทางไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง อินเตอร์เน็ต และเทเลมาร์เก็ตติ้ง เสริมตัวแทนที่มีเพียง 200 ชีวิต
เหตุผลสำคัญ ที่ "ไทยประกันภัย" เลือกที่จะลดน้ำหนักเบี้ยประกันภัยรถยนต์ลงมา คิดเป็นอัตราเติบโต เพียง 10% ก็เพราะ ตลาดรถเล็กที่รับประกันภัยขาดทุน จากอัตราความเสียหายที่ถีบตัวสูง ในขณะที่ตลาดประกันภัยรถยนต์ก็เริ่มจะปรับเพิ่มเบี้ย และมีการแข่งขันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
" ถ้า ประกันภัยรถยนต์ โตแหลก ในปีนี้ก็จะทำใหเราโตมากไป ในปีนี้จึงขอโตแค่ 10% ก็พอ"
พณิตา ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยประกันภัย อ้างอิงตัวเลข สัดส่วนประกันภัยรถยนต์ในปีก่อน มีสัดส่วน 60% และก็มีอัตราขยายตัวสูงถึง 60% ส่วนสำคัญไม่ได้มาจาก งานที่รับเข้ามาจากไฟแนนซ์ หรือสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีมากขึ้น แต่เป็นเพราะการปรับเบี้ยให้สูงขึ้น อัตราการขยายตัวจึงก้าวกระโดด
" เราจะไม่เน้นบุกตลาดประกันภัยรถยนต์ แต่จะรักษาฐานะลูกค้าเดิมเอาไว้ ดังนั้นอัตราเติบโต 10% ในปีนี้ก็คงพอ"
ตัวเลขการขยายตัวที่ลดลง กำลังอธิบายถึง ทุกบริษัทกำลังปรับเบี้ยประกันภัยรถยนต์มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดรถเล็กขนาด 1800 ซีซี ทำให้ไฟแนนซ์ หลายแห่งอาจเลือกจะส่งงานให้กับบางบริษัท ที่กำหนดเบี้ยต่ำกว่า
พณิตา อธิบายว่า ที่ผ่านมาได้ปรับเบี้ยรถเล็กไม่เกิน 1800 ซีซี ขึ้น 20-25% และกำลังจะปรับขึ้นอีกในปีนี้ราว 10-15% โดยจะดูที่อัตราความเสียหายหรือ ลอส เรโช ที่เริ่มจะสูงขึ้นเป็นเกณฑ์ ขณะที่รถเครื่องยนต์ 2000 ซีซีขึ้นไป ราคาเบี้ยยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
"เราต้องตั้งเป้ารถยนต์น้อยลง เพราะไม่อยากแข่งขันด้านราคา ทำให้ปีนี้อัตราการเติบโตจะไม่หวือหวาเหมือนปีก่อน นอกจากนั้นเราก็จะได้เห็นผู้แข่งขันรายใหม่ รายใหญ่ ถอยห่างตลาดรถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้นด้วย"
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รายได้จากตลาดประกันภัยรถยนต์ส่วนใหญ่จะมาจาก ไฟแนนซ์ โบรกเกอร์ และสาขา ขณะที่ตัวแทนที่มีจำนวน 200 ราย ถือว่าน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวแทนธุรกิจประกันวินาศภัยให้คอมมิชชั่นไม่สูง เหมือนประกันชีวิต สัดส่วนจึงไม่สูงมาก ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังไม่ได้สร้างตัวแทนอย่างเป็นจริงจัง
พณิตา ย้ำถึงจุดแข็ง การถือหุ้นบางส่วนในธนาคารทหารไทย ภายหลังการเข้ามาถือครองหุ้นใหญ่ของกลุ่ม ไอเอ็นจี กรุ๊ป จากเนเธอร์แลนด์ ทำให้มีโอกาสขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธนาคาร โดยจะมีการนำเสนอสินค้า ผ่านช่องทาง แบงแอสชัวรันส์ หรือขายประกันผ่านสาขาแบงก์ แยกจาก สินค้าที่นำเสนอโดยตัวแทน
"เราจะขายประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส และประเภท 5 ในสาขาแบงก์ เพราะพนักงานสามารถอธิบายให้ลูกค้าฟังง่าย ไม่ซับซ้อน ส่วนประกันภัยประเภท 1 จะใช้ช่องทางตัวแทน และสาขา เหมือนเดิม"
พณิตา บอกว่า หลังจากนั้น ก็จะตามมาด้วยสินค้าแบบแพกเกจสำหรับรายย่อย ที่จะเสนอสินค้าลูกค้าผ่านช่องทางสาขาแบงก์เท่านั้น อาทิ ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ แบบชดเชยรายได้ และประกันภัยโรคมะเร็ง เป็นลำดับต่อไป ทั้งนี้ได้เริ่มทำตลาดมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายเบี้ย 6 เดือนแรก ที่ 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ อินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ ไดเร็ค มาร์เก็ตติ้ง โดยเฉพาะเทเลมาร์เก็ตติ้ง มากขึ้น เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ลูกค้ารายย่อย คนวัยทำงาน รุ่นใหม่ ที่มีสถานที่ทำงานบนตึกใหญ่ หนาแน่นโดยจะจับตลาด ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลหรือ พีเอ
"ปีนี้เราจะเจาะช่องทาง เทเลเซลส์ และขายผ่านสาขาแบงก์มากหน่อย ถือเป็นการขยายตลาดรายย่อย ซึ่งเดิมมีจำนวนลูกค้าอยู่เพียง 1 แสนกว่าราย แต่มีสัดส่วนเบี้ยถึง 70% เมื่อเทียบกับ ลูกค้ารายใหญ่ที่มีเพียง 30%"
พณิตา บอกว่า ตลาดสำหรับอินเตอร์เน็ต จะโฟกัสไปที่ ประกันภัยการเดินทางเป็นหลัก ในกลุ่มนักท่องเที่ยว ขณะที่ไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง จะเริ่มที่ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ พีเอ เพราะขายง่าย และลูกค้าก็ทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรีแบรนดิ้ง ยังต้องใช้งบประมาณในส่วนนี้อีก 15 ล้านบาท ผ่านหนังโฆษณา เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน
|
|
|
|
|