หุ้นตัวใหญ่ในกลุ่มอสังหาแล่นฉิวไปแล้วจนใกล้เต็มมูลค่า โบรกฯแนะให้โยกมาเล่นหุ้นขนาด กลาง-เล็ก ดีกว่า เหตุราคาถูกกว่าแถมมีศักยภาพทางโดธุรกิจโดดเด่น
นับตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามารับตำแหน่ง กระแสข่าวดีสำหรับกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยก็ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อโครงการเป็นที่ยอมรับในตลาด และมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างเช่น บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH), บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH), บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) และ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS)
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซียพลัส กล่าวว่า จากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ทำให้หุ้นขนาดใหญ่หลายตัวมีระดับราคาสูงขึ้นจนใกล้ราคาเป้าหมายที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้แล้ว โดยอยู่ในช่วงค่าพี/อี 12 เท่า จนถึง 20 เท่า จึงเห็นว่าโอกาสที่จะเห็นราคาหุ้นขนาดใหญ่จะปรับตัวขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจมีไม่มากนัก
ขณะที่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ และราคาถูกยังมีอีกมากโดยจากการตรวจสอบข้อมูลของหุ้นที่อยู่ในการติดตามของฝ่ายวิจัย พบว่ายังมีหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปนาดกลาง-เล็กอีกหลายตัว ที่โครงการมี Brand Name เป็นที่ยอมรับของตลาด และราคาต่ำอีกหลายบริษัท ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน
ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่ากระแสการลงทุนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่หมดไป แต่แนวโน้มจากนี้ไป น่าจะให้ความสำคัญกับหุ้นขนาดกลางเล็กมากขึ้น เนื่องจากราคายังต่ำ หรือแม้ในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน โดย บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN), บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC), บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF), บมจ.ศุภาลัย (SPALI), บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK), และ บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) จะโดดเด่นมากขึ้นจากนี้ไป
เริ่มจากหุ้น LPN อิงค่าพี/อี 12 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 10.59 บาท โดยผู้นำในตลาดคอนโดนิเนียมระดับราคากลาง-ล่าง ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือกว่า 8,100 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายการบันทึกรายได้ปี 2551 มียอด พรีเซลล์ รองรับกว่า 80% ถือว่าปลอดภัย
ตามด้วย SC อิงค่าพี/อี 10 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 20.18 บาท ซึ่งมีโครงสร้างรายได้ปลอดภัยโดยมีค่าเช่ากว่า 780 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีค่าพี/อี 7 เท่า และเงินปันผลกว่า 6%
ถัดมาคือหุ้น PF อิงค่าพี/อี 6 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 6.41 บาท คาดหมายกำไรปี 2551 จะเติบโตกว่า 1 เท่าตัว และยังอาจมีการบันทึกรายการพิเศษจากการขายที่ดินเปล่าเข้ามาในช่วงครึ่งปีแรก และที่น่าสนใจไม่แพ้กันหุ้น SPALI อิงค่าพี/อี 8 เท่า หรือ 4.85 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่มีจุดเด่นในเรื่องเงินปันผล โดยคาดว่าจะสูงถึง 7-8% ต่อปี ถึงแม้ปี 2551 จะมีการเติบโตไม่มากนัก แต่จะเห็นเติบโต้กว่ากระโดดในปี 2552
รวมทั้งหุ้น MK อิงค่าพี/อี 6 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 3.10 บาท ซึ่งนับเป็นหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐในเกณฑ์สูง เนื่องจากพัฒนาโครงการแนวราบทั้ง 100% แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้นยังไม่ตอบสนองในเชิงบวกเท่าที่ควร
สุดท้ายคือหุ้น MJD อิงค่าพี/อี 7 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 6.37 บาท โดยในปี 2551 จะมีโครงการที่ถึงกำหนดโอนมากถึง 4 โครงการ ทำให้ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ อาจมีการปรับประมาณการขึ้นในโอกาสต่อไป
ทั้งนี้จากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคในขณะนี้ เป็นสัญญาณที่จะสนับสนุนหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับลดลง แม้ว่าดอกเบี้ยเงินกู้ไม่น่าจะปรับลดลงมากเท่ากับดอกเบี้ยนโยบายก็ตาม
|