Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2532
กว่าจะพ้นหุบเหวแห่งวิกฤต IRI             
 


   
search resources

IstItuto per la Ricostruzione Industriale (IRI)
Commercial and business




กาลครั้งหนึ่ง…รัฐวิสาหกิจ ISTITUTO PER LA RICOSTRUZIONE INDUSTRIALE หรือ ไออาร์ไอ ของอิตาลี ได้ชื่อว่า ผลิตสินค้าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ คือ ไล่ดะไปแล้วเกือบครบทุกประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ซอสมะเขือเทศ ถนนแบบเก็บค่าผ่านทาง รายการทีวี เรือเหล็กกล้า เครื่องป้องกันขโมย จรวดแบบยิงจากอากาศสู่อากาศ ฯลฯ

มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ไออาร์ไอทำไม่ได้…เงิน !

แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของอิตาลี เริ่มพลิกสถานการณ์ขึ้นมาทำกำไรได้ยุคอยู่ภายใต้การบริหารของ "โรมาโน โพรดิ" ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรษัทอุตสาหกรรม จากที่เคยขาดทุนปีละกว่า 7,000 ล้านลีร์ ช่วงปี 1982 - 1985 ก็ลกับมามีกำไรกว่า 300,000 ล้านลีร์ในปี 1986 และนับเป็นการทำกำไรครั้งแรกนับจากปี 1973 เป็นต้นมาด้วย

ต่อไปนี้ จึงเป็นเรื่องราวที่เขียนโดยศาสตราจารย์โพรดิ กล่าวถึงข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุแห่งความล้มเหลวของไออาร์ไอ ตามด้วยยุทธวิธีที่เขานำมาฟื้นฟูกิจการไออาร์ไอในช่วงปลายทศวรรษ 1980 จนพ้นจากภาวะขาดทุนมาได้

วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 1929 ส่งผลกระทบรุนแรงมากต่อระบบการธนาคารอิตาเลียน ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศทั้งระบบอีกต่อหนึ่ง

หลังจากรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือการธนาคารทั้งระบบแล้ว 4 ปีเต็ม เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำจอมเผด็จการยุคนั้นก็ก่อตั้งไออาร์ไอขึ้นเมื่อปี 1933 เพื่อเข้ามารับผิดชอบภาระหนี้ของแบงก์ไว้ทั้หงมด ไออาร์ไอจึงมีสภาพเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีของรัฐที่ควบคุมทั้งระบบแบงก์ อุตสาหกรรม และบริการ รวมทั้งเชื่อมประสานอำนาจและอิทธิพลเข้าด้วยกัน

อัลเบอร์โต เบเนดิวซ์ ประธานคนแรกของไออาร์ไอดูเหมือนจะรู้ซื้อถึงความจำเป็นในการก่อตั้งบริษัทนี้ดีว่า ต้องการใช้เป็นเครื่องมือเข้าแทรกแซงกิจการของรัฐที่ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ทำให้ไออาร์ไอเป็นองค์กรแปลกกว่าชาวบ้าน คือ เป็นทั้งโฮลดิ้งคัมปะนี และรัฐวิสาหกิจ แต่บริหารและควบคุมภายใต้กรอบของกฎหมายเอกชน

ลักษณะการผสมผสานภาครัฐ-เอกชนเข้าด้วยกันนี้ เพื่อให้ผู้บริหารมีอิสระเต็มที่ในการดำเนินงาน คือ เมื่ออยู่ในตลาดที่มีสภาพการแข่งขันสูงก็กระโจนลงต่อกรได้เต็มที่ หรือเมื่อตลาดมีสภาพผูกขาดโดยธรรมชาติก็ยังต้องดำเนินงานด้วยประสิทธิภาพและเพื่อผลกำไร เพราะยังมีนักลงทุนภาคเอกชนเป็นผู้ถือหุ้นค้ำคออยู่ พวกเขาล้วนมีสิทธิเต็มในเงินปันผลของบริษัท

ระหว่างไม่กี่ปีแรกหลังการก่อตั้ง คือ 1933 - 1936 ไออาร์ไอเข้าไปมีส่วนในกิจกรรมทางธุรกิจทุกอย่างที่อยู่ในความควบคุม แต่พอถึงปี 1936 ที่มีการประกาศใช้กฎหมายการธนาคารฉบับใหม่ กิจการแบงก์ถูกลดบทบาทลงเหลือแค่มีหน้าที่ปล่อยสินเชื่อตามปกติเท่านั้น

แต่หลังปี 1945 ไออาร์ไอเข้าไปมีบทบาทสำคัญในงานปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมหลังสงครามโลกด้วยการติดตั้งระบบโทรศัพท์แห่งชาติ ตั้งสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ก่อตั้งสายการบินแห่งชาติ (ปี 1957) ควบคุมการสร้างเครือข่ายทางหลวงแบบเก็บค่าผ่านทาง (ปี 1961) รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือและเหล็กกล้าของอิตาลี

เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่ออิตาลีทั้งประเทศอีกครั้งในปี 1974 ไออาร์ไอต้องเข้ามามีบทบาทอีกในฐานะสถาบันที่มีหน้าที่โอบอุ้มและกู้สถานการณ์ให้กิจการที่ประสบปัญหามากมาย ทำให้ไออาร์ไอเองมียอดขาดทุนบานเบอะ จากที่ต้องเข้าไปโอบอุ้มกิจการมีปัญหาหลายแห่งเอาไว้ เพื่อช่วยพยุงให้ชาวอิตาลเยนมีงานทำกันต่อไป

ต้นทศวรรษ 1980 ไออาร์ไอจึงกลายสภาพเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศ มีกิจการในเครือถึง 1,000 บริษัท รวมทั้งบริษัทผลิตเหล็กกล้ายักษ์ใหญ่หมายเลข 1 ของยุโรป กิจการแบงก์ราว 1 ใน 5 ของทั้งประเทศ สถานีโทรทัศน์ของรัฐ บริษัทผลิตรถอัลฟ่า โรมิโอ สายการบินแห่งชาติอลิทาเลีย และกิจการอาหารแปรรูปที่มีกำลังผลิตรวมกันได้ 20% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ จึงมีพนักงานในความควบคุมถึง 535,000 คน หรือกว่า 3% ของการจ้างงานทั้งประเทศ

ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์มหึมาอย่างนี้ ไออาร์ไอกลับมียอดขาดทุนสุทธิสูงถึง 8% ของยอดขายรวมยอดหนี้ที่สร้างขึ้นมาก็สูงกว่ายอดขายประจำ คือ สูงถึง 27,000,000 ล้านลีร์ ไออาร์ไอมีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อสุทธิคิดเป็น 12% ของสินเชื่อทั้งระบบที่ปล่อยให้ลูกหนี้รายย่อยและภาคธุรกิจ

สมมุติว่า ไออาร์ไอล้มครืนลง เศรษฐกิจของอิตาลีจะมีสภาพอย่างไร ?

ผมจึงรับงานอันหนักอึ้ง คือ พยายามฉุดดึงให้ไออาร์ไอพ้นขึ้นมาจากปากเหวแห่งวิกฤตตั้งแต่ปี 1981 หลังจากนี้ 2 ปี ผมใช้แผนฟื้นฟูกิจการ 5 ปีพร้อมคำขวัญว่า "กิจการต้องอยู่ในสภาพแข่งขันได้" แล้วเริ่มหานักบริหารจากบริษัทเอกชนเข้ามาแทนพวกอยู่ก่อนที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามา เพราะการเมืองและใช้มาตรการปลดพนักงานส่วนเกินออก จนถึงทุกวันนี้ ไออาร์ไอมีสต๊าฟน้อยลงถึง 60,000 คน แต่ก็ยังรั้งตำแหน่งบริษัทที่มีพนักงานมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเจเนอรัล มอเตอร์ของอเมริกาอยู่ดี

พนักงานระดับบริหารที่จะร่วมงานกับผมได้ต้องยอมเดินตามนโยบายที่ผมวางไว้ ไม่งั้นก็ต้องลาออกเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน กรณีนี้มีถึง 70% ของผู้บริหารทั้งหมดที่ไม่ได้มาตรฐานของผม จากนั้นผมก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในหมู่นักการเมืองอิตาเลียน เมื่อเริ่มมาตรการแบ่งขายสินทรัพย์ของไออาร์ไอ และเป็นช่วงที่ยุโรปทั้งทวีปกำลังเห่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจพอดี

มาถึงตอนนี้ เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการ 5 ปีของไออาร์ไอสิ้นสุดลงก็เห็นผลทันตา เมื่อกิจการก้าวสู่จุดคุ้มทุน โดยไออาร์ไอ ทำยอดขายรวมปี 1986 ราว 47,600,000 ล้านลีร์ เทียบกับ 32,900,000 ล้านลีร์ในปี 1982 ทำให้ติดอันดับบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 14 ของโลก และติดอันดับ 3 ในบรรดาบริษัทที่ไม่ใช่อเมริกัน นอกจากนี้ ภาระหนี้ที่เคยสูงถึง 16% ของยอดขายรวมเมื่อปี 1982 ก็ยังสามารถลดลงครึ่งหนึ่งในปัจจุบัน ที่สำคัญสถานการณ์ทุกอย่างกำลังกระเตื้องขึ้นเรื่อย ๆ

ไอออาร์ไอทุกวันนี้ยังความเป็นองค์กรซับซ้อนที่มีลักษณะเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีอยู่ตรงศูนย์กลาง แล้วควบคุมแบงก์ต่าง ๆ อาทิ แบงก้า คอมเมอร์เชียลี่ อิทาเลียน่า, เครดิโต อิทาเลียโน, แบงกโก ดิ โรมา, แบงโก เดอ ซานโต สปิริโต, เมดิโอเบงก้า นอกจากนี้ ยังมีกิจการที่ถือหุ้นใหญ่ เช่น ฟินเมคคานิก้า, สเตท, ฟินซิเออร์, อิตัลสตัท, ฟินแคนทิเอรี่, ฟินมารี่, ฟินซีล และสายการบินอลิทาเลีย ซึ่งถ้ามองในแง่การบริหารแล้ว ครอบคลุมอุตสาหกรรม 3 แขนงด้วยกัน คือ บริการ, การผลิต และวิศวกรรม

หรือถ้ามองในแง่ความครอบคลุมของบริการที่บริษัทในเครือไออาร์ไอมีอยู่จะเห็นเด่นชัดว่า "เอสไอพี" คุมด้านโทรคมนาคมของอิตาลี 82%, "อลิทาเลีย" คุมด้านการจราจรทางอากาศ 91%, "ฟินมารี" คุมการขนส่งทางน้ำ 21% และ "ออโตส์เทรด" คุมธุรกิจทางหลวง 45%

หรือมองในแง่การผลิตแล้ว "ฟินซิเดอร์" สร้างผลผลิตเหล็กกล้าได้ 55% ของทั้งประเทศ, "ฟินเคนทิเอรี่" คุมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ 70%, "แอนซัลโด" ป้อนชิ้นส่วนสำหรับโรงไฟฟ้า 60%, "แซเลเนีย" และ "แอริทาเลีย" คุมด้านอวกาศ 55% : "อิตัลเทล" คุมส่วนแบ่งตลาดสวิทช์ทีแอลซี 50% และ "เอสจีเอส" ครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 98%

ด้านวิศวกรรมมี "แอนซัลโด" ครองส่วนแบ่งตลาดภาคการพลังงาน 65%, "อิตาลิมปิอันติ" คุมภาคอุตสาหกรรม 25% และกลุ่มบริษัท "อิตัลสตัท" คุมภาคโครงสร้างพื้นฐานและการป้องกันสภาพแวดล้อม 17%

ยุทธวิธีฟื้นฟูกิจการกลุ่มที่มีการขยายแนวธุรกิจกว้างขวางครอบคลุมขนาดนี้จึงเน้นที่

- ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

- ปรับโครงสร้างทางการเงิน

- แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

- หุ้นส่วน

- สู่ความเป็นสากล

ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม…ปัจจุบันอุตสาหกรรมสำคัญหลายแขนง เช่น อวกาศและวิศวกรรมทีแอลซี อาทิ กิจการบริษัทแอนซัลโด, แอริทาเลีย, เซเลเนีย, อิตัลเทล ซึ่งเคยขาดทุนในปี 1982 กลับฟื้นตัวขึ้นมามีกำไรแล้ว แม้จะยังมีกิจการที่ขาดทุนหลงเหลืออยู่ แต่ส่วนใหญ่จะกำจัดวงอยู่ในแขนงอุตสาหกรรมที่ประสบภาวะวิกฤตทั่วยุโรป เช่น เหล็กกล้า ต่อเรือ

เราใช้วิธีเปลี่ยนแปลงการบริหารและต้องเจ็บปวดเพราะการลดจำนวนจ้างงานอย่างหนัก เราตั้งเกณฑ์ไว้ว่า ผู้จัดการระดับอาวุโสที่ไม่สามารถทำกำไรให้เข้าเป้าต้องถูกปลดออกแล้วหาคนใหม่มาแทน ซึ่งมีอยู่ราว 70% ของทั้งหมด แต่วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาได้ราบรื่นพอสมควร ไม่ก่อให้เกิดคดีฟ้องร้องใหญ่โตอะไร ส่วนหนึ่งเพราะความช่ำชองในการเจรจาต่อรอง และการที่ฝ่ายสหภาพแรงงานมีสัญญาคุมความประพฤติกับเราที่เรียกว่า PROTOCOLLO IRI ทำให้สถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ในไออาร์ไอดีกว่าของบริษัทอื่น เป็นต้นว่า ถ้าเกิดกรณีพิพาททั้งฝ่ายพนักงานและบริหารต้องเข้าพบปะเจรจากันหลายครั้งก่อนที่ฝ่ายสหภาพจะดำเนินการขั้นสไตร๊ค์ได้ ทำให้เราไม่เกิดปัญหาเสียเวลาทำงานเพราะการสไตร๊ค์

ปรับโครงสร้างทางการเงิน…ไออาร์ไอเจอวิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรงในปี 1980 โดยเฉพาะสภาพเงินสดหมุนเวียนที่เริ่มฝืดเคืองมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 นั้น ยิ่งเลวร้ายลงจนเกือบติดลบในช่วงปี 1978 - 1981 เพราะไออาร์ไอขาดแคลนแหล่งเงินทุนภายใน ในส่วนที่ได้รับการสนับสนุนจากทางการก็ไม่เพียงพอ จึงต้องดิ้นรนหาแหล่งเงินกู้จากภายนอก ซึ่งโดยมากอยู่ในรูปเงินสกุลดอลลาร์มูลค่ามหาศาล และจะรีรออีกต่อไปไม่ได้ ต้องใช้มาตรการพื้นฐาน 3 อย่างเข้ามาเยียวยาปรับปรุงฐานะการเงินอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ

1. ขอเงินสนับสนุนก้อนโตจากรัฐบาลและรับเงินนั้นในรูปของการวางแผนฟื้นฟูกิจการที่ทำให้สามารถใช้กระบวนการเพิ่มทุนได้ ปัจจุบันเงินช่วยเหลือในส่วนนี้ลดลงไปมากแล้ว

2. ไออาร์ไอพยายามลดยอดหนี้ลงตามเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย และหันมาพึ่งแหล่งเงินในประเทศมากกว่าต่างประเทศ

3. หาแหล่งเงินเข้ามาอีกทางหนึ่งด้วยการขายกิจการในเครือที่ไม่ถือว่าอยู่ในยุทธวิธีหลักของไออาร์ไอ รวมทั้งการออกหุ้นของบริษัทในเครือขายในตลาดหลักทรัพย์เพราะหวังว่า นักลงทุนจะสนใจ

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ…ในที่นี้การขายบริษัทในเครือออกไปก็คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั่นเอง เรามีหลักพิจารณาว่า กิจการที่ต้องขายทิ้งต้องอยู่ใน 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเป็นกิจการที่ทำแล้วแทบไม่คุ้มทุน แถมยังไม่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ต้องขายทิ้งต้องอยู่ใน 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเป็นกิจการที่ทำแล้วแทบไม่คุ้มทุนแถมยังไม่เกี่ยวข้องกับกิจการในเครือเดียวกัน และไม่อยู่ในข่ายแผนงานสำคัญของไออาร์ไอ

ประเภทที่สอง เป็นบริษัทที่ประสบปัญหาขาดทุน แต่ยังสามารถฟื้นฟูใหม่ได้ ถ้าขายให้คนอื่นดำเนินงาน

และประเภทสุดท้ายเป็นบริษัทที่มีแววทำกำไรได้ แต่เผอิญดูท่าไปได้ไม่สวยนัก ถ้าพิจารณาในแง่วัตถุประสงค์ระยะยาวของไออาร์ไอ

ผมจึงตั้งเป้าหมายต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ถ้าต้องการให้ไออาร์ไอฟื้นตัวขึ้นมาก็ควรบริหารในลักษณะของบริษัทเอกชน

เริ่มจากปี 1983 จนถึงปัจจุบัน ไออาร์ไอจึงขยายบริษัทในเครือขนาดต่าง ๆ ออกไปแล้ว 23 บริษัท นับตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง "อัลฟ่า โรมิโอ" ไปจนถึงกิจการเล็ก ๆ อย่าง "อัลฟ่า โรมิโอ" ไปจนถึงกิจการเล็ก ๆ อย่าง "ดูคาติ" หรือแบงก์และบริษัทผู้ผลิตแว่นตาหรือเครื่องซักผ้า โดยกระบวนการขายกิจการในเครือเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายปี 1985 แต่มาคึกคักอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 1986 เมื่อการเมืองสนับสนุนให้ขาย "อัลฟ่า โรมิโอ" อย่างกว้างขวาง เพราะบริษัทนี้ประสบปัญหากำลังผลิตไม่คงที่ และไม่สามารถทำกำไรมากกว่า 10 ปีแล้ว ในที่สุด ไออาร์ไอจึงตกลงขายบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตให้เฟียตไปเมื่อ 1 มกราคม 1987 ในราคาประมาณ 1,600,000 ล้านลีร์ และถ้าไม่นับเงินจากการขายอัลฟ่า โรมิโอ แล้วไออาร์ไอสามารถหาเงินทุนจากการขายกิจการในเครือนับจากปี 1983 เป็นต้นมาราว 1,000,000 ล้านลีร์

จาก 23 บริษัทที่ขายออกไปมีถึง 18 บริษัทรวมทั้งสายการบินอลิทาเลียและองค์การโทรศัพท์เอสไอพีที่กลายเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์มิลาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าหุ้นคิดเป็น 22% ของทั้งตลาด และคิดเป็น 11% ของจำนวนบริษัทสมาชิกในตลาดทั้งหมด แต่เมื่อดูในแง่เงินปันผลคิดเป็น 35% ของยอดเงินปันผลทั้งตลาด

การที่ไออาร์ไอทำอย่างนี้เพราะมีเป้าหมายหลัก เพื่อกระจายความเป็นเจ้าของบริษัทเหล่านั้นในกรณีที่หุ้นอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียวมากเกินไป

ไออาร์ไอมีวิธีออกหุ้นขายในตลาดหลักทรัพย์ 3 วิธีด้วยกัน…วิธีแรก คือ นำบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เป็นสมาชิกรายใหม่ ซึ่งเริ่มเมื่อปี 1985 ที่ฝ่ายบริหารใช้วิธีการนี้ค่อนข้างช้า ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่า มีบริษัทในเครือมากมายอยู่ในฐานะพร้อมจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะสภาพตลาดหุ้นในประเทศช่วงก่อนหน้านั้นค่อนข้างซบเซาไม่เหมาะกับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก จนกระทั่งถึงกรกฎาคม 1985 สถานการณ์จึงกระเตื้องขึ้นและเหมาะกับการนำบริษัทในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ 5 บริษัทด้วยกัน คือ บริษัทโทรคมนาคม "เซอร์ติ", บริษัทวิจัยด้านอวกาศ "แอริทาเลีย", สถาบันการเงิน "เครดิโต โฟเนียริโอ", บริษัทสร้างทางหลวง "ออโตส์เทรด" และบริษัทวิศวกรรมจักรกล "แอนซัลโด ทราสปอร์ติ"

วิธีที่สอง ด้วยการออกหุ้นเพิ่มในกิจการที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,100,000 ล้านลีร์ในปี 1985 และเพิ่มอีกกว่า 800,000 ล้านลีร์ในปีถัดมา โดยเน้นขายที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นของ "แบงก้า คอมเมอร์เชียลี่ อิทาเลียน่า" มูลค่า 230,000 ล้านลีร์ และ "สเตท" มูลค่า 180,000 ล้านลีร์ ที่เสนอขายกับตลาดหลักทรัพย์ระหว่างประเทศเมื่อปี 1985

การทำตามวิธีการที่สองนี้ ทำให้ลักษณะความเป็นเจ้าของหุ้นของไออาร์ไอ และบริษัทในเครือเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง โดยเฉพาะในส่วนของกิจการในเครืออย่างเอสไอพี, อิตัลเคเบิ้ล หรือซิเมนเทียร์ ซึ่งไออาร์ไอลดปริมาณการครอบครองหุ้นลงอยู่ที่ระดับให้เพียงพอกับการคงไว้ซึ่งเสียงข้างมากในการตัดสินใจเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วก็ออกหุ้นขายหมด

และวิธีสุดท้ายด้วยการออกพันธบัตรแปลงสภาพได้ และหุ้นกู้พร้อมตราสาร ซึ่งเป็นวิธีออกหุ้นขายแก่มหาชนทางอ้อมคิดเป็นมูลค่า 600,000 ล้านลีร์

จากข้อมูลง่าย ๆ พวกนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นธรรมชาติของหุ้นไออาร์ไออย่างเด่นชัดว่า ไม่ได้เป็นประเภทน่าซื้อไว้เก็งกำไร เพราะไม่มีวันราคาพุ่งปรู๊ดปร๊าดเด็ดขาด แต่ที่ประสบความสำเร็จในหมู่นักลงทุน เพราะผลประโยชน์ระยะยาวที่พวกนี้เชื่อมั่นว่า ต้องได้เงินปันผลงานแน่ ไออาร์ไอจึงทำเงินจากการขายหุ้นกิจการในเครือได้กว่า 4,400,000 ล้านลีร์ และยังสามาถคุมอำนาจการบริหารในทุกบริษัทด้วย

หุ้นส่วน…ตัวผมเองรู้สึกวิตกเรื่องการแข่งขันทั่วโลกที่อยู่ในสภาพเข้มข้นมาก โดยเฉพาะในธุรกิจด้านไฮ-เทค ผมจึงบรรจุหนทางแก้ปัญหาที่ว่านี้ลงอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูกิจการด้วย โดยใช้วิธีแสวงหาและเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเข้าร่วมทุนในธุรกิจเหล่านี้ เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการจะเข้าตลาดหรือรักษาตลาดที่มีอยู่เดิมเอาไว้ ตัวอย่างน่าสนใจในกรณี คือ บริษัท "SEIAF" ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างไอบีเอ็ม - เอลเอสเอจี เพื่อผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติสำหรับใช้ในโรงงานและในสายการผลิตที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์

จากนโยบายหาหุ้นส่วนนี้เองที่นำมาสู่ยุทธวิธีด้านการขอลิขสิทธิ์ โครงการร่วมทุนและการรับเหมาช่วงโดยแอริทาเลียเข้าไปร่วมมือกับบริษัทผลิตเครื่องบินอเมริกัน คือ ทั้งแม็คดอนเนล ดักกลาส และโบอิ้ง ขณะที่บริษัทในเครือของสเตท ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีด้านโทรคมนาคมของไออาร์ไอก็มีโครงการร่วมทุนผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติสำหรับใช้ในโรงงานกับ "ยักษ์สีฟ้า" ไอบีเอ็ม

ธันวาคม 1986 เอสจีเอสผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ของไออาร์ไอ และทอมสันยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสตกลงในโครงการร่วมทุนมูลค่า 500,000 ล้านลีร์ผลิตหน่วยความจำประสิทธิภาพสูง และยังมีโครงการผนวกอิตัลเทลผู้ผลิตโทรศัพท์และอุปกรณ์โทรคมนาคมอันดับ 1 ของอิตาลีกับเทเลตตร้า บริษัทในเครือเฟียต ซึ่งมีกิจการในแขนงเดียวกัน เป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างพิจารณา และถ้าทุกอย่างตกลงด้วยดีจะได้บริษัทใหม่ ชื่อ "เทลิท" ซึ่งจะได้ชื่อว่า ยักษ์ใหญ่ในวงการผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมยุโรปรายหนึ่ง

สู่ความเป็นสากล…เป็นหนึ่งในยุทธวิธีฟื้นฟูกิจการของไออาร์ไอ เห็นได้จากปี 1985 ที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 26% ของยอดขายทั้งหมด แต่มีข้อน่าสังเกตอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของทำเลตลาดที่รองรับสินค้าไออาร์ไอ จากปี 1981 ที่ 50% ของสินค้าส่งออกไปลงแถบประเทศกำลังพัฒนา และอีก 42% สู่ประเทศพัฒนาแล้ว พอถึงปี 1985 ยอดส่งออกกลับพลิกผันสู่ประเทศพัฒนา 54% ขณะที่การส่งออกสู่ประเทศกำลังพัฒนาลดลงเหลือเพียง 35% ของทั้งหมด เฉพาะในตลาดแถบยุดรปตะวันออกและจีนสามารถเพิ่มยอดส่งออกรวมกันจาก 8% เป็น 11%

ซึ่งระดับการก้าวสู่ความเป็นสากลอย่างที่ไออาร์ไอเป็นอยู่ทุกวันนี้สามารถสรุปได้จาก

- ถ้านำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งหมดมาพิจารณาด้วย (ยกเว้นเครือข่ายโทรศัพท์และทางหลวงแห่งชาติ) ไออาร์ไอจะทำรายได้จากต่างประเทศราว 40% ของยอดขายทั้งหมด

- รายได้เหล่านี้มาจาก 120 บริษัทในเครือ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในอิตาลี โดยทำยอดส่งออกราว 10,000,000 ล้านลีร์และจาก 90 บริษัทที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ซึ่งทำยอดขาย 2,000,000 ล้านลีร์

- ไออาร์ไอเข้าไปถือหุ้นส่วนน้อยใน 30 บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ

จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ความร่วมมือในระดับระหว่างประเทศจะสำคัญกับไออาร์ไอขนาดไหน และเราก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อความร่วมมือที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเราตระหนักดีว่า โดยขนาดของบริษัทเพื่อการผลิตในเครือไออาร์ไอเท่าที่เป็นอยู่นั้น ไม่อาจอยู่รอดหรือพัฒนาขึ้นมาได้ยกเว้นแต่จะมีขนาดและความซับซ้อนเท่าบริษัทคู่แข่ง และเมื่อนั้นถึงจะสามารถเข้าไปสร้างส่วนแบ่งตลาดที่สูสีได้

เราจึงมีงานใหญ่รอให้สะสาง เป็นต้นว่าแม้โครงการผนวกกิจการอิตัลเทลกับเทเลตตร้าจะสำเร็จลง ไออาร์ไอก็ยังได้ชื่อว่า "กระจอก" ในธุรกิจโทรคมนาคมระหว่างประเทศอยู่ดี เช่นเดียวกับที่เอาเอสจีเอสไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์อย่างอเมริกัน ยุโรป หรือญี่ปุ่น ก็เหมือนมวยคนละรุ่นยังไงยังงั้น

แม้ว่ายักษ์ใหญ่ไออาร์ไอซึ่งถูกแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปบางส่วนแล้วจะแข็งแกร่งและมีอิสระมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่วายถูกมรสุมการเมืองกระหน่ำอยู่ดี เพราะยังมีนักการเมืองอิตาเลียนอีกมากที่ยังหัวชนฝาอยากให้ออาร์ไอเป็นรัฐวิสาหกิจในความควบคุมของรัฐ 100%

การเามืองจึงเข้าไปมีผลกระทบต่อยอดขายของบางบริษัทในเครือไออาร์ไอ อาทิ เมื่อครั้งรัฐบาลไม่อนุมัติให้ขายบริษัท เอสเอ็มอีให้ "เดอ เบเนเด็ตตี้" จอมอิทธิพลแห่งยักษ์คอมพิวเตอร์โอลิเว็ตตี้ เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีแคร็กซี่ของอิตาลี อยากขายให้คนอื่นที่สนับสนุนพรรคโซเชียลิสต์ของเขามากกว่า

แม้ว่าความพยายามของเราที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับโครงการบริหารไออาร์ไอเหมือนบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จะพบแต่อุปสรรคและความยุ่งยากมาตลอด แต่ทุกคนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลประกอบการของไออาร์ไอในช่วงนี้ดีขึ้นผิดตา และเราเชื่อว่า ความสำเร็จต้องยืนอยู่ข้างเรามากกว่านี้ด้วย เพราะแม้แต่ธนาคารโลกยังร่วมมือกับการฟื้นฟูกิจการครั้งนี้เต็มที ด้วยการหยิบยกกรณีของไออาร์ไอให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่พยายามกู้สถานภาพรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนป่นปี้

มันจึงเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เรากำหนดอนาคตของไออาร์ไอที่ได้รับการวางรากฐานมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ อนาคตของไออาร์ไอยิ่งเด่นชัดขึ้น ว่าต้องพัฒนาไปใน 3 แนวทาง คือ พัฒนาในแง่เครือข่ายขนาดใหญ่ วิศวกรรม และการผลิตด้วยระบบไฮ-เทค

เรามีตัวอย่างเป็นตุ๊กตาให้เห็นกันจะจะถึงพันธะสัญญาที่รร่วมกันกำหนดขึ้น อาทิ ในอีก 4 ปีข้างหน้า "แอนซัลโด" ต้องมีอัตราการเติบโตปีละ 13% หรือในด้านไฮ-เทค ก็ตั้งเป้าให้บริษัทวิจัยอวกาศอย่าง "แอริทาเลีย" และ "เซเลเนีย" ขยายตัว 20% ต่อปี และ "เอสจีเอส" ที่เน้นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ "อิตัลเทล" ซึ่งเน้นการผลิตสวิทช์ควรขยายตัวปีละ 14%

หรือถ้าจะมองในแง่การเน้นให้ความสำคัญกับกิจกรรมของบริษัทในเครือแล้ว จะเห็นว่า ในปี 1981 ไออาร์ไอให้ความสำคัญด้านไฮ-เทคเพียง 28% เทียบกับ 52% ในปี 1985 และปัจจุบันไออาร์ไอยังมีโครงการกระโจนสู่อุตสาหกรรมผลิตวัสดุที่ใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย

ปี 1986 บริษัทในเครือไออาร์ไอทุ่มงบกว่า 1,400,000 ล้านลีร์ให้กับงานวิจัยและพัฒนา (สูงกว่าปี 1985 ราว 20%) และแม้จะเพิ่มการจ้างงานในส่วนนี้ราว 12,000 คน แต่เมื่อเทียบกับสภาพการแข่งขันในตลาดโลกที่ทั้งเข้มข้นดุเดือดแล้ว ต้องถือว่ากำลังคนขนาดนี้ยังจิ๊บจ๊อยมาก

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เราต้องหวนกลับไปหากลยุทธ์ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ในแง่มุมใหม่ คือ ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศสูงมาก เพราะเรารู้สึกว่า คงก้าวไปข้างหน้าพร้อมประสบความสำเร็จสวยหรูในอนาคตอันใกล้นี้ไม่ได้แน่ ถ้าเรายังเก็บตัวและขังตัวเองอยู่แต่ในโลกแคบ ๆ อย่างนี้

ขณะเดียวกัน เราก็เห็นอุปสรรคสำคัญขวางกั้นอยู่ข้างหน้าด้วย อย่างแรกคือปัญหาคนว่างงาน แม้ที่เป็นอยู่จะสูงกว่าระดับเฉลี่ยของประเทศยุโรปอื่น ๆ ไม่มากนัก แต่ปัญหาของอิตาลีหนักหน่วงตรงคนว่างงาน โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะเทไปทางตอนใต้ของประเทศเป็นส่วนใหญ่

อย่างที่สอง เป็นปัญหาที่เกิดจากภาคใต้ของประเทศทั้งแถบ ทำให้รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการใหม่ ๆ หลายอย่างเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้บริเวณนี้ให้ได้ รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาความเป็นอุตสาหกรรม การประกอบการ ท่องเที่ยว และการศึกษา จึงเป็นความท้าทายและโอกาสให้บริษัทในเครือไออาร์ไอหลายแห่งที่มีกิจการตรงกับที่รัฐสนับสนุน

และจุดบอดประการสำคัญอยู่ที่ตัวรัฐบาลเอง ซึ่งยังมีปัญหาขาดดุลงบประมาณมหาศาล ต้องดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐบาลกันอุตลุด

จะอย่างไรก็แล้วแต่ เรายังเชื่อมั่นว่า ต้องสามารถพัฒนาความก้าวหน้าต่อไปได้ เพราะความแข็งแกร่งภายในผนวกกับบรรยากาศทางเศรษฐกิจของประเทศเองก็เริ่มกระเตื้องขึ้นโดยทั่วไป

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อมั่นในอนาคตของไออาร์ไอเอามาก ๆ เพราะ

- อิตาลีสามารถวบคุมปัญหาร้ายแรงจากลัทธิก่อการร้ายได้แล้ว

- อิตาลีลดปัญหาเงินเฟ้อลงมาอยู่ที่ระดับควบคุมได้

- ปัญหาแรงงานที่เคยหนักหน่วงก็บรรเทาเบาบางลง เห็นได้จากจำนวนชั่วโมงสไตร๊ค์โดยเฉลี่ยของคนงานแต่ละคนลดลงเหลือแค่ 1 ใน 4 ของปี 1982

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างสกุลลีร์ของอิตาลีกับเงินยุโรปสกุลอื่น ๆ อยู่ในระดับค่อนข้างทรงตัว

- นับจากปี 1985 เป็นต้นมา ตลาดเงินทั้งประเทศของอิตาลีมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างมาก

หรือถ้าจะพูดให้ครอบคลุมแล้ว ผมเชื่อมั่นทั้งอนาคตของไออาร์ไอและประเทศอิตาลี และเห็นว่าบริษัทในเครือจะสามารถขยายกิจการ รวมทั้งพัฒนาความก้าวหน้าก็ด้วยการขยายขอบข่ายในระดับระหว่างประเทศ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในอิตาลีเสมอ เห็นได้จากปี 1985 ที่มีต่างชาติเข้าลงทุนในกิจการอิตาเลียนกว่า 1,200 บริษัท ทำให้มียอดจ้างงาน 500,000 คน และทำยอดขายราว 72,000,00 ล้านลีร์ หรือเกือบ 7% ของยอดขายทั้งประเทศ

จึงไม่น่าแปลกที่สื่อมวลชนระหว่างประเทศจะหยิบยกเอา "ความมหัศจรรย์" ของอิตาลีขึ้นมาตีแผ่ให้ทั่วโลกรับรู้ โดยเฉพาะในแง่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้ว เรามองแค่ว่า มันเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อยุติแห่งการแก้ปัญหาแน่ และเรื่องราวของไออาร์ไอนี้ คงเป็นข้อพิสูจน์ถึงกำลังใจของคนอิตาเลียนว่า แกร่งพอที่จะชุบชีวิตใหม่ให้รัฐวิสาหกิจขนาดมหึมาแต่งุ่มง่ามและเน่าเฟะนี้ได้ !

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us