|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ไอเอ็นจี กรุ๊ป"เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นตลาดทุนเอเชียไตรมาส 1 ไทยคว้าอันดับ 3 รองลงมาจากจีน และอินเดีย โดยปรับตัวลดลงเพียง 2.2% แม้ตลาดรวมในภูมิภาคจะรับผลกระทบจากภาวะความไม่แน่นอนของตลาดโลก รวมทั้งปัญหาซับไพรม์จนปรับตัวรูด ส่วนด้าน ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ดัชนีลดฮวบไปเยอะ ขณะที่เทคนิค "เฝ้าจับตาดู" รอสถานการณ์เลวร้ายคลี่คลาย ถือเป็นกลยุทธ์เด็ดของนักลงทุนทั้งภูมิภาค พร้อมคาดปีนี้เศรษฐกิจของเอเชียจะเติบโตระหว่าง 3-9% ส่วนไทยจะเติบโตประมาณ 5%
รายงานข่าวแจ้งว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ลงทุนรายใหญ่ของ ไอเอ็นจี กรุ๊ป เพื่อจัดทำดัชนีวัดความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ชื่อว่า ING Barometer ในยุโรป ที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้เป็นตัววัดแนวโน้มของการลงทุนในยุโรป และได้นำวิธีการดังกล่าวมาใช้กับเอเชีย โดยการสำรวจภาวะตลาดการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค 13 แห่ง ได้แก่ ไทย ฮ่องกง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งผลการสำรวจทำให้ได้ทราบถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในแต่ละประเทศ และดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ประจำไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปี 2551ในมมมองต่างๆที่น่าสนใจ
สำหรับในส่วนของประเทศไทยนั้น มีประเด็นสำคัญ คือ 1.ประเทศไทยอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากภาวะไม่แน่นอนของตลาดโลก วิกฤตจากสินเชื่อด้อยคุณภาพและวิกฤตสินเชื่อโลก ยังคงเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง 2.นักลงทุนไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เห็นช่องทางที่ดีของการลงทุนระยะยาว โดยคิดว่าภาวะเลวร้ายคงจะผ่านพ้นไปได้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนไทยหวังผลเก็งกำไรสูงกว่านักลงทุนประเทศอื่นๆ 3 .นักลงทุนไทยและชาติอื่นในเอเชียยังคงใช้นโยบาย “เฝ้าจับตาดู” เพื่อรอให้ระยะที่ตลาดยังไม่มีความแน่นอนผ่านพ้นไปก่อน และ4.นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังคงมุ่งลงทุนในประเทศ โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ พร้อมกับขยายการลงทุนไปในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
โดย ข้อมูลในรายงานพบว่า ในไตรมาสแรกปี 2551 ความเชื่อมั่นในการลงทุนในเอเชียลดลงอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของภาวะวิกฤตของสินเชื่อด้อยคุณภาพ วิกฤตสินเชื่อโลก และภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ที่มีต่อภูมิภาคนี้ ทำให้ค่าดัชนีความเชื่อมั่นในเอเชียแปซิฟิค ลดลงจาก 141 ในไตรมาสที่ 3 ปี 2550 มาเป็น 135 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 และ 125 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างฮ่องกงและสิงคโปร์ มีการปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยฮ่องกง ลดลงจาก 148 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 เหลือ 107 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 และสิงคโปร์ ลดลงจาก 136 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 เหลือ 88 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ส่วนเกาหลีใต้ ลดจาก 113 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 เหลือ 96 ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้
“ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นของการลงทุนในไทย ลดลงเพียง 2.2% โดยลดลงจาก 134 มาอยู่ที่ 131 ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ จัดเป็นประเทศที่มีความเชื่อมั่นอันดับ 3 รองจากจีนและอินเดีย ซึ่งมีดัชนีความเชื่อมั่นในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 168 และ 136 ตามลำดับ” รายงานผลการสำรวจระบุ
ส่วนในแง่ของความคิดเห็นต่อการลงทุนในอนาคตนั้น ภาวะสินเชื่อด้อยคุณภาพ และวิกฤตสินเชื่อโลก ยังคงเป็นเรื่องที่น่าวิตกสำหรับนักลงทุนและเอเชีย โดย 65% ของนักลงทุนไทย และ 73% ของนักลงทุนเอเชีย (ยกเว้น ญี่ปุ่น) คิดว่าวิกฤตของสินเชื่อด้อยคุณภาพมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 นอกจากนี้ ข้อมูลชี้ว่า นักลงทุนไทยและชาติอื่นในเอเชีย เริ่มสนใจแต่ยังคงระมัดระวังในการลงทุนระยะยาว แม้จะคิดว่าผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและภาวะของตลาดเงิน แต่ผลการสำรวจชี้ว่านักลงทุนไทยคาดหวังผลตอบแทนในการลงทุนสูงกว่าชาติอื่นๆ ในเอเชีย
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า นักลงทุนไทยมีความเชื่อมั่นในนโยบายสนับสนุนการลงทุนของทางภาครัฐ โดย 68% ของนักลงทุนไทยคาดว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 ขณะที่มีเพียง 16% ที่เห็นว่านโยบายดังกล่าวช่วยให้สภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 1
ทั้งนี้ นักลงทุนไทยและเอเชียส่วนใหญ่มองภาพเศรษฐกิจ ผลตอบแทนการลงทุน และสถานะการเงินส่วนบุคคล ในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 สดใสกว่าไตรมาส 1 ปี 2551 อันสะท้อนให้เห็นว่าว่านักลงทุนเหล่านี้ไม่ได้คิดว่าภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยอยู่เป็นเวลานาน และคาดว่าภาวะเลวร้ายต่างๆ น่าจะผ่านพ้นไปได้
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในภาวะปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนทั่วโลกลดลง รวมทั้งประเทศไทย ส่งผลให้ในขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เน้นลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยังสนใจจะลงทุนในกลุ่มสินค้าเกษตร เพราะราคาของกลุ่มสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการบริโภคทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นการใช้เป็นพลังงานทางเลือก ดังนั้น ในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บลจ.ไอเอ็นจี ได้ออกกองทุนใหม่ เรียกว่า “ING Thai GAME Enhanced Linked Fund” ซึ่งกองทุนนี้ได้ลงทุนในตราสาร structured note ที่มุ่งเน้นคุ้มครองเงินต้นที่ลงทุนในรูปเงินเหรียญสหรัฐ และกองทุนได้ทำการขาย forward เพื่อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินเหรียญสหรัฐเพื่อปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยกองทุนมีผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาของทรัพย์สิน 3 ประเภทเท่าๆ กันคือราคาทองคำ ดัชนีราคาสินค้าเกษตร และราคาหุ้นกลุ่มตะวันออกกลาง
“เราเชื่อว่า ตลาดการเงินยังคงต้องอยู่ในสภาพที่ผันผวนต่อไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ขณะนี้เป็นโอกาสดีในการเลือกลงทุน” นายมาริษกล่าว
ด้าน นายเอ็ดดี้ เบลมานส์ ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียเหนือ ของไอเอ็นจี กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเอเชียลดลงในสองไตรมาสสุดท้าย เพราะมีความเชื่อมโยงกับตลาดการลงทุนโลก จึงหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความเข้มงวดในการให้สินเชื่อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐไปไม่ได้ และสิ่งที่เรามองเห็นในขณะนี้คือ นักลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างฮ่องกง กำลังได้รับผลกระทบความความผันผวนของตลาดโลกมากเป็นพิเศษ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนในกองทุนรวม
“คงจะเร็วเกินไปที่จะคิดว่าภาวะเลวร้ายจะผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ แม้ว่าตลาดการเงินยังคงมีความผันผวน เศรษฐกิจของฮ่องกงและชาติอื่นๆ ในเอเชียยังคงมีความแข็งแกร่ง ด้วยการค้าระหว่างภูมิภาคและความต้องการในประเทศจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของเอเชียเติบโตต่อไป ตลอดจนช่วยให้ตลาดในภูมิภาคนี้สามารถรองรับแรงกระทบจากปัจจัยต่างๆได้ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2551 เศรษฐกิจของเอเชียจะเติบโตระหว่าง 3-9% สำหรับประเทศไทยจะเติบโตประมาณ 5%” นายเบลมานส์ กล่าว
สำหรับในด้านผลการสำรวจอื่นๆ ของการลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่า 62% เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 ขณะที่มีเพียง 27% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ขณะที่78% คาดว่าผลตอบแทนการลงทุนจะสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 ขณะที่มีเพียง 46% ที่เชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุนได้ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 นอกจากนี้อีก 67% เห็นว่าสถานะการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 นี้ เทียบกับ 32% ที่คิดว่าสถานะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก
ส่วนผลการสำรวจในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) พบว่า 48% ชี้ว่า สภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เทียบกับ 32% คิดว่าสภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 1 ขณะที่ 57% มีความเห็นว่า ผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะในจีน 71% ฮ่องกง 52% และ เกาหลี 48% และ 56% กล่าวว่า สถานะการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 เทียบกับ 40% ที่คิดว่าสถานะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 1
ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจอีกทางหนึ่งชี้ว่า 48% ของนักลงทุนในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) คิดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะปรับตัวลดลงในไตรมาสที่ 2 ปี 2008 ส่วนไทย 45% คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะปรับตัวลดลงอย่างมาก อีกทั้งการสำรวจของไอเอ็นจี ชี้ด้วยว่า นักลงทุนไทยและผู้ร่วมทุนชาวเอเชีย ใช้นโยบาย “คอยจับตาดู” สำหรับการแก้ปัญหาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกผันผวน และเน้นลงทุนในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ
นอกจากนี้ ผลสำรวจระบุว่า 54% ของนักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ที่ตอบแบบสอบถาม เห็นว่าควรลงทุนในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เทียบกับ 47% และ 38% เห็นว่าควรลงทุนในการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางและความเสี่ยงสูงตามลำดับ โดย46% ของนักลงทุนไทยที่ตอบแบบสอบถาม เห็นว่าควรลงทุนในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง เทียบกับ 42% ที่เห็นว่า ควรลงทุนในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
โดยผลการสำรวจของ ไอเอ็นจี กรุ๊ป ยังพบด้วยว่านักลงทุนไทยและเอเชียในปัจจุบัน จะลงทุนในประเทศและประเทศใกล้เคียงมากกว่า ทั้งนี้ พบว่า 79% ของนักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ที่มีการลงทุนในต่างประเทศ จะมีการลงทุนในตลาดเอเชียด้วย และ 59% ของนักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่นและจีน) ที่มีการลงทุนในต่างประเทศ จะมีการลงทุนในตลาดจีนด้วย
|
|
|
|
|