Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2532
ปรีดา ชนะนิกร"มืออาชีพ อยากรู้ว่า มีค่าตัวสักเท่ไร ต้องเป็นเถ้าแก่เอง"             
 


   
search resources

ปรีดา ชนะนิกร
ปรีดา ชนะนิกร
Consultants and Professional Services




ปรีดา ชนะนิกร เจ้าของบริษัทที่ปรึกษาที่ชื่อ ปรีดา ชนะนิกร อันเป็นชื่อเดียวกับชื่อของเขา ปรีดาเป็นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในวงการค้าระหว่างประเทศ

ย้อนหลังกลับไป 3-4 ปีก่อนปรีดาอำลาชีวิตการเป็นมือปืนรับจ้างที่สร้างเท่าไหร่ ผลที่สุดก็เป็นของคนอื่น ปรีดาตัดสินใจตั้งบริษัทปรีดา ชนะนิกร โดยลงทุนเองทั้งหมด เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตเขา ด้วยเหตุผลว่า ต้องการอิสรภาพและต้องการสร้างอะไรที่เป็นของตัวเองสักที การที่เขาเอาชื่อและนามสกุลของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อบริษัท หลายคนออกจะแปลกใจว่านึกพิเรนทร์หรืออยากดัง

"ผมมีเหตุผลนะ หนึ่ง - ชื่อของผมมีการประชาสัมพันธ์มามากพอสมควรในอดีต ถ้าตั้งชื่อเป็นชื่อตัวเอง นี่ทำให้ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาบริษัท สอง - การเอาชื่อบริษัทเป็นเดิมพันแล้ว ฉะนั้นล้มไม่ได้ พลาดไม่ได้ เสียหายไม่ได้ มันทำให้ต้องหันหลังชนฝาแล้วสู้อย่างขาดใจ…" ปรีดาให้เหตุผลพร้อมเสียงหัวเราะ เพราะต้องตอบคำถามนี้บ่อย

ปรีดา ชนะนิกร เกิดที่ลาวในตระกูลขุนนางซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง ลุงแท้ ๆ ของเขาคือ เฒ่าผุ้ยนั้นเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของลาว เขามีญาติพี่น้องรับราชการอยู่ที่เมืองลาวไม่น้อย แต่ครอบครัวของเขาอพยพมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เขาอายุได้ 4 ขวบ ฝรั่งคนที่ช่วยครอบครัวเขาให้มาอยู่ในแผ่ดินไทยได้อย่างเรียบร้อยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่โอเอสเอสของอเมริกันชื่อ จิม ทอมสัน แม่ของปรีดาเป็นคนที่ทอผ้าไหมได้งดงามมากคนหนึ่ง ซึ่ง จิม ทอมสัน ชอบใจมาก หลังจากนั้นไม่นาน จิม ทอมสัน อันลือชื่อจนปัจจุบัน และก็ปรากฎ "ชนะนิกร" เป็นหุ้นส่วนเล็ก ๆ ไปด้วย

ปรีดาข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตร ที่มหาวิทยาลัยอเบอร์ดินแห่งสก๊อตแลนด์ เนื่องจากบิดาเขามีที่ดินอยู่เมืองลาวเกือบ 6 พันไร่ ปลูกพืชหลายชนิดแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงเป็นเจตนารมณ์ของพ่อที่อยากให้เขามาพัฒนาที่ดิน แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่ได้ใช้วิชาที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา

ปรีดาเริ่มงานเป็นมาร์เก็ตติ้งเทรนนีที่บริษัทลีเวอร์บราเดอร์สอยู่ราวสองปี ก่อนจะไปอยู่บริษัทแมคแคนอีริคสัน หลังจากนั้นไม่นานก็ย้ายข้ามฟากมาเป็นรองผุ้จัดการใหญ่ของบริษัทค้าสากลซีเมนต์ไทย ในเครือปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งขณะนั้นสมหมาย ฮุนตระกูล นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่

"ตอนนั้นผมถูกจับให้ทำเรื่องขายแทนคุณอมเรศ ต้องขายสินค้าเป็นพัน ๆ ล้าน ก็กลัวเหมือนกัน เพราะเราจบด้านเกษตรมา แต่ก็สู้และคิดว่าทุกอย่างเรียนรู้ได้ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนั้นเครือปูนต้องการให้มีการตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ คุณสมหมายก็ให้ผมไปทำ ผมนะตอนนั้นยังไม่รู้จักแอลซีเลยว่าเป็นยังไง แต่ก็ลุยมาสร้างจนเป็นบริษัทระหว่างประเทศที่มั่นคงพอสมควร" ปรีดา เล่า

ประสบการณ์กว่าสิบปีที่ปูนซีเมนต์ทำให้เขากลายเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างหาตัวจับยาก ในที่สุด น้ำผึ้งก็ขม เขาต้องลาออกจากปูนอย่างชอกช้ำด้วยซาบซึ้งสุภาษิตไทยหลายบทโดยเฉพาะ "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย"

แต่คนที่รู้เรื่องของปูนซีเมนต์ดี อรรถาธิบายว่า "ตอนนั้นในปูนเป็นยุคของเสือสิงห์กระทิงแรดที่มาจากหลายแหล่งฟาดฟันกันอย่างหนัก ปรีดาเป็นคนหนึ่งที่ถูกเด้งออกมา"

เมื่อผู้จัดการถามว่า ทำไมต้องอก เขาตอบอย่างขรึม ๆ ว่า "ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมกับผม"

หลังจากนอนเลียแผลอยู่พักใหญ่ เขาก็ได้รับการทาบทามจากเสี่ยงกฤษณ์ อัสสกุล เจ้าพ่อใหญ่แห่งค่ายไทยสมุทร ซึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์ของปรีดาจากหน้าหนังสือพิมพ์ และเสียงร่ำลือได้ชักชวนให้ปรีดาไปช่วยสร้าง "บริษัทอโศกอินเตอร์เทรด" ซึ่งกฤษณ์ต้องการให้เป็นบริษัทการค้าระหว่างประเทศ แต่ต้องไปสร้างบริษัทนี้จากศูนย์อย่างแท้จริง เพราะฐานของธุรกิจในเครือของ กฤษณ์ คือ ไฟแนนซ์ประกันภัย - ประกันภัย สำหรับปรีดาแล้ว งานบุกเบิกเป้นงานที่เขาถนัดและที่สำคัญมันท้าทายมืออาชีพอย่างเขาเป็นยิ่งนัก

อโศกอินเตอร์เทรด โตวันโตคืน ยอดขายที่ตั้งไว้บรรลุไปด้วยดี ขณะที่บริษัทในลักษณะเดียวกันประสบปัญหาไม่น้อย ชื่อของปรีดาเฟื่องสุดขีดที่อโศกอินเตอร์เทรดนี้เอง แล้วจู่ ๆ ก็มีข่าวว่า เขาตัดสินใจอำลาจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่า "อยากเป็นเถ้าแก่เองเสียที"

ประสบการณ์นับสิบปีกับวงการค้าต่างประเทศ ทำให้เขารู้กลไกของการนำเข้าส่งออกอย่างลึกซึ้ง นั่นเป็นที่มาของหนังสือ "คู่มือการส่งออก" ที่เขาเขียนขึ้นจากประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเอง หนังสือนี้ขายดิบขายดีและสร้างชื่อเสียงให้ปรีดาไม่น้อยเมื่อ 4 ปีก่อน

หลังจากนั้น ข่าวคราวของปรีดาค่อนข้างเงียบหายไปจากวงการ เขาเริ่มธุรกิจที่ปรึกษาโดยอาศัยสายสัมพันธ์ที่สั่งสมมานาน หาลูกค้าจากต่างประเทศที่ต้องการมาลงทุนในไทย ซึ่งในช่วงแรกค่อนข้างยากลำบากไม่น้อย แต่นับเนื่องจากกระแสการลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลบ่ามาบ้านเราไม่น้อย หากนับเป็นการเก็งตลาดถูกก็ไม่ผิดนัก

บริษัทปรีดานั้น ทำการติดต่อให้นักลงทุนจากต่างชาติจนครบวงจรตั้งแต่ติดต่อกับราชการไทย หาผู้ร่วมทุนติดต่อจัดสร้างโรงงาน และช่วยจนกระทั่งผลิตสินค้าล็อตแรกออกมาได้เป็นอันหมดหน้าที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับลูกค้าว่า ต้องการให้บริษัทช่วยเหลืออะไร

ในรอบ 3 ปีมีโครงการผ่านมือบริษัทไป 30 กว่าโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากไต้หวัน ออสเตรเลีย และยุโรป สำหรับออสเตรเลียนั้นพิเศาหน่อยตรงที่รัฐบาลของรัฐนิวเซ้าท์เวลส์ ติดใจในฝีไม้ลายมือของปรีดา ได้แต่งตั้งให้ปรีดาเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ประจำประเทศไทยติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว ตำแหน่งนี้มีเงินเดือนประจำที่สูงโขอยู่ ทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ความกระจ่างแก่นักลงทุนจากออสเตรเลียที่ต้องการมาลงทุนในไทย ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้เมื่อต้องการมาลงทุนจริงๆ ก็มักจะใช้บริการของบริษัทของเขา นับเป็นตำแหน่งที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจเขาไม่น้อย ยิ่งถ้าดูสถิติการมาลงทุนจากออสเตรเลียเพิ่มขึ้นมาก หลังจากเริ่มทำการค้ากับไทยอย่างจริงจังเมื่อ 3-4 ปีก่อนเท่านั้น

นอกจากจะทำธุรกิจด้านให้คำแนะนำปรึกษาแล้ว เขายังเป็นผู้ร่วมทุนกับนักลงทุนบางรายที่จะรู้สึกมั่นใจและอุ่นใจว่า การลงทุนของเขาไม่ผิดพลาดแน่ หากบริษัทที่ปรึกษาร่วมทุนด้วย ในระยะหลังนี้ ปรีดาได้ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกเองด้วย ล่าสุดนี้ เขาไปตั้งบริษัทปรีดา สาขาประเทศลาว ตามกระแสนโยบายแปรสนามรบให้เป็นการค้าของรัฐบาล ธุรกิจนี้เน้นหนักไปในทางค้าไม้และแร่ ซึ่งกำลังจะเปิดที่ทำการในเวียงจันทน์เดือนหน้านี้ ว่ากันว่า ธุรกิจที่ลาวนี้ทำท่าจะไปดี เพราะเขามีสายสัมพันธ์กับข้าราชการลาวไม่น้อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นญาติ ๆ ของเขาทั้งนั้น

วัย 48 ปีของปรีดา ชนะนิกร ชีวิตเขายังคงทำงานหนักตั้งแต่ 7 โมงไปจนมืดค่ำทำงานเงียบ ๆ รวยเงียบ ๆ ไปกับธุรกิจตัวเองที่มีอนาคต บทสรุปข้อหนึ่งของมืออาชีพมาตลอดชีวิตเช่นเขาแล้วตัดสินใจมาเป็นเถ้าแก่เสียเอง

"เป็นลูกจ้างอาชีพบางทีเราก็สงสัยว่าเรามีค่าตัวสักเท่าไหร่ ตอบยากเหมือนกัน ต้องลงมาทำเอง แล้วเราจะพบว่า เรามีมูลค่ามากกว่าที่คิดไว้เยอะ แต่ก็ต้องระวังนะ เพราะผมเห็นว่าโดดลงมาทำเอง โอกาสรอดตายมีเพียง 2 ใน 10 เท่านั้น เพราะมืออาชีพเคยชินกับมวยฝรั่งทุกอย่างมีกฎระเบียบลงมาเจอมวยวัด บางทีอาจจะเสียมวยไปเลย" ปรีดา พูดทิ้งท้าย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us