Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 เมษายน 2551
ปีทองหุ้นกลุ่มเกษตร ราคา"PRG"พุ่ง120%             
 


   
search resources

Agriculture
Stock Exchange




ปีทองกลุ่มธุรกิจการเกษตร ตั้งแต่ต้นปีดัชนีกลุ่มบวกแล้ว 3.51% นำโด่งโดย "ปทุมไรซมิลฯ" ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเกือบ 120% ทิ้งห่างอันดับสอง "จีเอฟพีที" เพิ่มขึ้นแค่ 49% ขณะที่ CPF ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 4.35% ปิดที่ 4.80 บาท ด้านโบรกเกอร์ ชี้ได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แนะ PRG มีโอกาสทำกำไรอีกแค่ 10%

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างได้รับผลดีจากปริมาณความต้องการจากทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมาตรการของรัฐบาลที่พยายามผลักดันคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทย เพื่อพัฒนาสู่การส่งออกมากขึ้น ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับพอร์ตการลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธุรกิจการเกษตรมากขึ้น

ผู้จัดการรายวัน ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม - 16 เมษายน 51 ปรากฏว่า ดัชนีกลุ่มปรับเพิ่มขึ้น 3.51% ปิดที่ 135.67 จุด จาก 131.07 จุด โดยขึ้นไปสูงสุดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 51 ที่ 135.67 จุด และลดลงต่ำสุดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 51 ที่ 120.73 จุด มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 22,046.05 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ หมวดธุรกิจการเกษตร และหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับหมวดธุรกิจการเกษตรนั้น หลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) หรือ PRG ราคาปิดที่ 62.00 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 33.75 บาท คิดเป็น 119.47% จาก 28.25 บาท (ตารางประกอบข่าว)

บมจ.จีเอฟพีที หรือ GFPT ปิดที่ 18.30 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 6.00 บาท คิดเป็น 48.78% จาก 12.30 บาท บมจ.ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม หรือ UVAN ปิดที่ 68.00 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 16.00 บาท คิดเป็น 30.77% จาก 52.00 บาท บมจ.บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม หรือ UPOIC ปิดที่ 77.50 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 13.50 บาท คิดเป็น 21.09% จาก 64.00 บาท และบมจ.ห้องเย็นโชติวัฒน์หาดใหญ่ หรือ CHOTI ปิดที่ 100.00 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 17.00 บาท คิดเป็น 20.48% จาก 83.00 บาท

ขณะที่ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF ราคาปิดที่ 4.80 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.20 บาท คิดเป็น 4.35% จาก 4.60 บาท

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 51 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือพืชพลังงานทดแทน ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในกลุ่มกลุ่มธุรกิจการเกษตรมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้ประเมินหลักทรัพย์รายตัวดังนี้ หุ้น PRG จะได้รับประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้น เนื่องจากบริษัทประกอบธุรกิจทำข้าวถุงขายโดยตรง ได้แก่ ข้าวมาบุญครอง ขณะที่เมื่อปีที่แล้วขายในประเทศ 82% ส่งออก 18% โดยปีนี้แนวโน้มขายในประเทศมากขึ้น คาดช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ผลการดำเนินงานจะออกมาดีต่อเนื่อง ด้านราคาหุ้นมีโอกาสวิ่งขึ้นไปถึง 70 บาท มี upside ประมาณ 10% แต่ตัวหุ้น PRG ไม่ค่อยมีสภาพคล่องมากนัก

หุ้น GFPT แม้จะได้รับปัจจัยบวกจากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นมารับรู้ปัจจัยบวกมากแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าราคา ณ ขณะนี้ที่ 18.30 บาทแพงเกินไป จึงปรับพอร์ตไปลงทุนหุ้น CPF แทนดูจะเหมาะสมกว่า ซึ่งราคาปัจจุบันอยู่ที่ 4.80 บาท

ส่วนหุ้น UVAN มีข้อดีกว่าหุ้นตัวอื่นในธุรกิจผลิตน้ำมันปาล์ม เนื่องจากมีความสามารถในการเลือกขายสินค้าได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เมื่อราคาขายในประเทศสูงกว่าต่างประเทศก็ขายในประเทศมากกว่าส่งออกไปขายต่างประเทศ แตกต่างจาก UPOIC ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น บมจ.ล่ำสูง (ประเทศไทย) ทำให้การขายสินค้าจะขายให้แก่บมจ.ล่ำสูงเป็นหลักหรือขายในประเทศนั้นเอง สำหรับราคาของหุ้น UVAN มองว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้สัก 1-2 บาท โดยประเมินราคาเหมาะสมที่ 70 บาท แต่เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง

ด้านบทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมินว่า UVAN จะมีผลการดำเนินงานที่ดี คาดว่ากำไรสุทธิปี 51 จะอยู่ที่ 681 ล้านบาท หรือเติบโต 35% เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง และปริมาณการผลิตปาล์มที่เพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีผลผลิตต่อไร่ประมาณ 2.9 ตัน และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เป็น 3.2 ตันต่อไร่ รวมทั้งยังมีความต้องการไบโอดีเซล B2 ที่จะทำให้ความต้องการน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศเพิ่มขึ้นว่าราคาน้ำมันปาล์มเฉลี่ยปีนี้ที่จะอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการพลังงานทดแทนจากพืชที่เพิ่มขึ้น และปริมาณผลผลิตปาล์มต่อไร่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%

ขณะเดียวกัน ความต้องการน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ภายในประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการบังคับใช้ไบโอดีเซล B2 ที่จะทำให้ปริมาณอุปสงค์-อุปทานปาล์มน้ำมันของไทยตึงตัวในปีนี้ ดังนั้นมาตรการห้ามการส่งออกน้ำมันปาล์มของรัฐบาลจึงไม่น่าส่งผลกระทบต่อราคาและยอดขายในปีนี้ อย่างไรก็ตามการเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศของ UVAN อาจจะกระทบต้นทุนค่าขนส่ง เนื่องจากต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 80 บาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us