Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 เมษายน 2551
กองทุนรวมเริ่มฟื้นตัวQ3 พ.ร.บ.เงินฝากดันAUMโต             
 


   
search resources

วนา พูลผล
Funds




บลจ.ยูโอบี เชื่อตลอดทั้งปีอุตสาหกรรมกองทุนจะเติบโตเพิ่มขึ้น แม้ไตรมาส1เม็ดเงินลงทุนจะปรับลดลง มั่นใจตั้งแต่สิงหาคม หรือQ3 ภายหลังพ.ร.บ.คุมครองเงินฝากประกาศใช้ ประชาชนจะหันมาให้ความสำคัญกองทุนรวมเพิ่มขึ้น ดันเม็ดเงินลงทุนทั้งระบบขยายตัว

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของระบบกองทุนรวมปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.576 ล้านล้านบาท ลดลงจากต้นปี 2551 ที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท หรือปรับตัวลดลงประมาณ 2.15% ว่าเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เนื่องจากในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนั้น พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากจะมีการประกาศใช้ออกมาอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ แม้พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ที่เริ่มใช้ในช่วงแรกจะยังคุ้มครองวงเงินเต็มจำนวนหรือ 100% ก็ตาม แต่เชื่อว่าภายหลังจากที่พ.ร.บ.ดังกล่าวประกาศใช้ออกมาได้ระยะเวลาหนึ่ง จะทำให้มีนักลงทุนหันมาเข้ามาลงทุนฝ่ายกองทุนรวมเพิ่มขึ้น และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนการคุ้มครองเงินฝากลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จะมีการขยายตัวไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

ส่วนสาเหตุที่ส่งผลให้ยอดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไตรมาส 1 ปรับตัวลดลงนั้นมาจาก การที่ธนาคารพาณิชย์หันมาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนการสวนทางตลาด ที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในช่วงปรับตัวลดลง จึงทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนจากจำนวน 3.4 หมื่นล้านบาท ถูกโยกไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ ส่วนที่เหลือบางส่วนได้ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

“แต่เดิมตัวเลขเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนในไตรมาส1ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงนั้น น่าจะเป็นอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นั่นคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบพิเศษของธนาคารพาณิชย์ที่ให้สูงขึ้นกว่าปกตื รวมทั้งการออกพันธบัตรของภาครัฐที่มีเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันน่าจะมาจากความไม่มั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนด้วย เพราะมีนักลงทุนบางรายสับสนกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยว่าจะปรับตัวลดลง แต่จากที่แบงก์ได้ออกแคมเปญดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษที่สูงขึ้นทำให้เกิดคสวามสับสนได้ จนมีนักลงทุนส่วนหนึ่งพักเงินลงทุนโดยฝากไว้กับธนาคารเพื่อรอดูท่าทีที่ชัดเจนมากกว่านี้ ดังนั้นจึงว่าเมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นเม็ดเงินดังกล่าวก็จะกลับมาสู่อุตสาหกรรมกองทุนีรวมอีกครั้ง”

ขณะเดียวกัน จากการที่มีกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สถาบันการเงินของยุโรป (Euro commercial Paper : ECP) นั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ยอดเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งระบบปรับตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากกองทุนประเภทนี้มีเม็ดเงินลงทุนรวมกันอยู่ในจำนวนที่สูงมาก และได้เริ่มทยอยหมดอายุมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยขณะนี้ บริษํทจัดการกองทุนหลายแห่ง พยายามที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้ามาดแทนกองทุนรวมที่ลงทุนในยECP ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2551 ทั้งนี้เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเก่าไม่ให้ไหลไปฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ โดยที่ผ่านมากองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้สามารถระดมทุนได้ประมาณ 3.54 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อว่าแนวโน้มในปีนี้จะมีเม็ดเงินไหลจากกองทุนรวม ECP เข้ามาในกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนการลงทุนในพันธบัตรไต้หวันนั้น นายวนา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีความน่าสนใจเท่ากับพันธบัตรเกาหลีใต้ เพราะว่าพันธบัตรเกาหลีใต้สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย เมื่อเปรียบเทียบกับไต้หวัน ปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน ECP ของ บลจ.ยูโอบีมีประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะไม่เสนอขายกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้ แต่จะหันมาเน้นให้ความสำคัญกับกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ซึ่งกองทุนนี้จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีการประกาศใช้ โดยต้นปีนี้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท และล่าสุดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นประมาณ 60% นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังเป็นตัวแทนของการฝากเงินแบบออมทรัพย์ด้วย

“ที่ผ่านมา กองทุนรวมยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของนักลงทุน โดยยังมองว่าการลงทุนในกองทุนรวมยังมีความเสี่ยงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้กับนักลงทุนได้รู้จักมากขึ้น โดยบริษัท โดยจะมีการจัดสัมมนา โรดโชว์ และงานอีเวนท์ ตามสาขาของธนาคารยูโอบี (ไทย) ทั่วประเทศ และจะออกโปรโมชั่นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนมีความใกล้ชิดกับกองทุนรวมมากขึ้น”

ส่วนการที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎให้บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้นั้น เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นช่องทางใหม่ ที่จะช่วยในการขยายฐานลูกค้าของกองทุนรวม เพื่อให้ลูกค้าโบรกเกอร์มาพักเงินลงทุนในกองทุนรวมได้

สำหรับกองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Specific Fund) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ และได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549 ดดยจะเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารแห่งหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน และเงินฝากธนาคาร ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Notes) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivative)

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 28 มีนาคม 2551 ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 100.48% ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงิน 1.93% และลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อีก -2.42%

ขณะที่ ผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 28 มีนาคม 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 8.37% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 8.37% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6

เดือนอยู่ที่ 2.72% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.35% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.55% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.89% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.45% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.24%

นายวนา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจะออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นตัวแปร (สตรักเจอร์โน้ต) ในปีนี้น้อยลง เพราะจากการที่อัตรราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ทำให้กองทุนไม่สามารถให้คุ้มครองเงินต้นได้ และผลตอบแทนไม่สูง โดยจะนำส่วนที่เหลือจากประกันเงินต้นมาซื้อออปชั่นได้น้อยลง ส่งผลให้ผลตอบแทนน้อยลงตามไปด้วย จนเป็นเหตุให้กองทุนสตรักเจอร์โน้ตไม่น่าสนใจ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us