Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์14 เมษายน 2551
ตลาดไอซีทีไทยรุ่งทะลุยอด 6 แสนล้าน             
 


   
search resources

ICT (Information and Communication Technology)




3 หน่วยงานรัฐ 2 สมาคมเอกชน เผยผลสำรวจตลาดไอซีทีไทยปี 50 ทะลุ 500,000 ล้านบาท ระบุกว่า 50% เป็นการใช้จ่ายด้านคอมพิวเตอร์และสื่อสารในภาคครัวเรือน คาดตลาดไอซีทีปี 51 จะมีการใช้จ่ายทะลุ 600,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13.1% เป็นผลจากมาตรการภาครัฐหนุน

ดัชนีที่ใช้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับโลกในเวลานี้ การลงทุน "ไอซีที" ถือเป็นดัชนีสำคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถดังกล่าว สำหรับประเทศไทยถึงแม้ภาครัฐพยายามผลักดันให้ "ไอซีที" ยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ถึงขึ้นกำหนดไว้ในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย พ.ศ.2545-2549 แต่กลับไม่มีการรวบรวมมูลค่าตลาดไอซีทีอย่างเป็นรูปธรรมจากหน่วยงานของรัฐ ถึงแม้จะมีความพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลแต่จะเป็นการเก็บของแต่ละหน่วยงานไม่ได้เชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ประเทศไทยขาดแคลนข้อมูลด้านไอซีทีที่ชัดเจนและถูกต้องเพื่อให้รู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของประเทศ ทำให้กลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการวางมาตรการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว

ด้วยความตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวทำให้หน่วยงานที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศอย่าง เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์ปาร์ก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า และหน่วยงานเอกชนอย่าง สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือเอทีซีไอ และสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย หรือเอทีเอสไอ ได้ร่วมมือกันสำรวจตลาดไอซีทีของประเทศไทยขึ้น

มีเนคเทครับเป็นแม่งานดำเนินการศึกษาในครั้งนี้ โดยใช้เวลาสำรวจระหว่างเดือนธันวาคม 2550 ถึงเดือนมกราคม 2551 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการไอซีทีจำนวน 1,7000 ราย ด้วยวิธีรวบรวมข้อมูลจากรายงาน ข่าว ฐานข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้วิธีการประมวลผลตามวิธีการทางสถิติและการประชุมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

ผลสำรวจตลาดไอซีทีปี 2550 ที่ประกอบไปด้วยมูลค่าคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เซอร์วิสและตลาดโทรคมนาคมมีมูลค่าโดยรวม 537,818 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าการใช้จ่ายในส่วนของตลาดโทรคมนาคมสูงถึง 391,218 ล้านบาท คิดเป็น 73% ของตลาดโดยรวม ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายในตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ มีมูลค่า 68,719 ล้านบาท คิดเป็น 13% ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มีมูลค่า 57,178 ล้านบาท คิดเป็น 11% และคอมพิวเตอร์เซอร์วิสมีมูลค่าเพียง 20,703 ล้านบาท หรือประมาณ 4% เฉพาะตลาดไอทีปี 2550 มีมูลค่า 204,535 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 เท่ากับ 6.3%

"การใช้จ่ายด้านไอซีทีในปี 2550 ของไทยกว่า 73% เป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับโทรคมนาคมในภาคครัวเรือน" พันธุ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทคให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้จ่ายไอซีทีของคนไทย

รายงานยังได้คาดการณ์ตลาดไอซีทีปี 2551 ว่า จะมีการเติบโตจากปี 2550 ประมาณ 13.1% คิดเป็นมูลค่า 608,460 ล้านบาท โดยที่ตลาดไอทีจะเติบโต 14.4% โดยมีมูลค่าตลาดที่ 234,073 ล้านบาท ตลาดฮาร์ดแวร์ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดัน 1 ที่ 34% ประมาณ 73,387 ล้านบาท ตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคม ประมาณ 67,161 ล้านบาท คิดเป็น 29% ตลาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ มีมูลค่า 67,262 ล้านบาท คิดเป็น 29% และตลาดคอมพิวเตอร์เซอร์วิสหรือตลาดบริการ ประมาณ 26,264 ล้านบาท คิดเป็น 10%

"ส่วนแบ่งตลาดบริการด้านคอมพิวเตอร์และตลาดซอฟต์แวร์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดด้านอุปกรณ์อย่างเช่นตลาดฮาร์ดแวร์และตลาดอุปกรณ์สื่อสารมีแนวโน้มเติบโตลดลง บ่งบอกถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของตลาดบริการ เป็นไปตามแนวทางของสังคมที่มุ่งสู่สังคมแห่งฐานความรู้" จำรัส สว่างสมุทร นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือเอทีซีไอ อธิบายแนวโน้มในปี 2551 ให้ฟัง

หากพิจารณาการใช้จ่ายด้านไอซีทีในปี 2550 จำแนกตามภาคเศรษฐกิจจะพบว่า ภาคครัวเรือนมีสัดส่วนการใช้จ่ายในสินค้าและบริการค่อนข้างสูง คิดเป็น 53% โดย 80% เป็นการใช้จ่ายทางด้านฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ขณะที่ภาครัฐและภาคเอกชนรวมกันมีการใช้จ่าย 47% แต่ถ้าคิดค่าใช้จ่ายเฉพาะตลาดไอที กลับพบว่า ปี 2550 ภาครัฐและภาคธุรกิจเป็นกลุ่มหลักที่ใช้จ่ายถึง 80% ขณะที่ภาคครัวเรือนมีเพียง 20% เนื่องจากภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายในตลาดอุปกรณ์โทรคมนาคมน้อยมาก เพราะสินค้าส่วนใหญ่ในตลาดดังกล่าวเป็นสินค้าเพื่อใช้ในองค์กรหรือใช้ในโครงข่ายขนาดใหญ่

รายงานยังระบุอีกว่า เฉพาะตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ปี 2550 มีมูลค่ารวม 68,719 ล้านบาท โดย 60% มาจากการจำหน่ายคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่ถูกลง อีกทั้งปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้บริโภคในทุกระดับและในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคครัวเรือนหรือภาคธุรกิจ ประกอบกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมีผลทำให้ราคาฮาร์ดแวร์เกือบทุกประเภทปรับราคาลดลงทุกปี ส่งผลให้การเติบโตในเชิงมูลค่ามีอัตราติดลบเป็นส่วนใหญ่

เมื่อดูเฉพาะตลาดโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ในปี 2550 มีการเติบโตจากปี 2549 ถึง 50% ซึ่งมียอดขายทั้งหมด 770,000 เครื่อง เป็นผลจากการที่ผู้ผลิตต่างพากันลดราคาสินค้าลงมา โดยในปี 2549 ราคาขายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 บาท แต่ในปี 2550 ราคาขายปรับลดลงมาอยู่ที่เครื่องละ 25,000 บาท ขณะที่ราคาขายโดยเฉลี่ยของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะปี 2550 อยู่ที่ 17,500 บาท ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากเดิมเคยซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กลับหันมาซื้อโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์แทน เนื่องจากช่วงห่างของราคาใกล้กันมาก

นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการทำงานของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจที่จะเลือกซื้อโน้ตบุ๊กมากขึ้น รวมถึงการที่ตลาดโน้ตบุ๊กขยายตัวเข้าไปในตลาดสถานศึกษาเพิ่มขึ้น

สำหรับในปี 2551 นี้ คาดว่า ตลาดโน้ตบุ๊กจะโตประมาณ 20% ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการเติบโตในปี 2550 ส่วนหนึ่งมีปัจจัยจากราคาเครื่องที่ปรับลดลง และการเข้ามาของมินิโน้ตบุ๊กที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะความได้เปรียบเรื่องราคาที่ถูกกว่าเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพก็จะต่ำกว่าจึงเหมาะกับนักเรียนนักศึกษาที่มีงบประมาณจำกัดและไม่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความซับซ้อนมากนัก

จำรัส กล่าวว่า ในปีนี้เชื่อว่า สัดส่วนของตลาดโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจะอยู่ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่ในปีหน้า ตลาดโน้ตบุ๊กจะมียอดขายแซงหน้าตลาดพีซี เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และอาศัยอยู่ที่คอนโด จึงนิยมเลือกใช้โน้ตบุ๊กมากกว่าพีซี แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีจะไม่สูญหายจากตลาด เนื่องจากโน้ตบุ๊กยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องเดินทางออกนอกออฟฟิศ แต่พีซีจะยังคงใช้งานอยู่ในออฟฟิศ

สำหรับมูลค่าการใช้จ่ายในการบริโภคซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในปี 2550 นั้นมีมูลค่ารวม 57,178 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14.2% โดยเอนเตอร์ไพรส์ซอฟต์แวร์มีมูลค่าสูงสุด 51,215 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 2549 ประมาณ 13.4% รองลงมาเป็นโมบายแอปพลิเคชั่นที่มีมูลค่า 2,057 ล้านบาท เติบโตขึ้น 24.5% และ Embeded Software มีมูลค่า 1,934 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30.7%

หากแยกมูลค่าการใช้จ่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในปี 2550 ตามภาคเศรษฐกิจ พบว่า ภาคเอกชนใช้จ่ายสูงสุดถึง 67.1% หรือ 38,338 ล้านบาท รองลงมาเป็นภาครัฐ 24.3% คิดเป็นมูลค่า 13,894 ล้านบาท และภาคครัวเรือน 8.7% มีมูลค่า 4,946 ล้านบาท โดยที่ภาครัฐมีการใช้จ่ายลดลง 3.7% จากปี 2549 และภาคครัวเรือนลดลง 12.2% เป็นผลจากการชะลอการตัดสินใจดำเนินการโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐและการชะลอการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาส 1-3 ของปี ขณะที่ภาคครัวเรือนก็ชะลอการใช้จ่ายลง อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ

ในปี 2551 ผลสำรวจคาดการณ์การใช้จ่ายตลาดซอฟต์แวร์โดยรวมมีแนวโน้มขยายตัวสูงถึง 17.6% คิดเป็นมูลค่ารวม 67,262 ล้านบาท โดยซอฟต์แวร์ในกลุ่ม Embeded มีการเติบโตถึง 39% คิดเป็นมูลค่า 2,688 ล้านบาท

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์ปี 2551 มีแนวโน้มเติบโต ประกอบไปด้วยการลงทุนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โครงการเชื่อมโยงข้อมูลการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ ต่างส่งผลทางบวกต่อทั้งตลาดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การที่ธุรกิจเอกชนขนาดกลางถึงใหญ่มีแนวโน้มที่จะนำซอฟต์แวร์มาสนับสนุนการบริการจัดการมากขึ้น ขณะที่แนวโน้มธุรกิจเอสเอ็มอีเองก็เติบโตสูงขึ้น ซึ่งธุรกิจในกลุ่มนี้เริ่มมีผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับระบบไอทีมากขึ้น เห็นถึงความจำเป็นต้องมีเว็บไซต์และระบบไอทีสนับสนุนการทำงาน ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดซอฟต์แวร์เติบโต

ตลาดซอฟต์แวร์ส่งออกเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งในปี 2550 มีมูลค่าประมาณ 4,200 ล้านบาท คิดเป็น 7.3% ของมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ทั้งหมด ประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญประกอบไปด้วยประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เวียดนามและประเทศสิงคโปร์ ซึ่งการที่ตลาดยังมีมูลค่าน้อยเป็นผลมาจากผู้ประกอบการยังขาดความชำนาญในการทำตลาด ขาดข้อมูลด้านการตลาด จึงทำให้ซอฟต์แวร์ไทยไม่เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศ

รุ่งเรือง ลิ้มชูปฎิภาณ์ ผู้อำนวยการ ซิป้า กล่าวเสริมว่า สำหรับปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดซอฟต์แวร์โต คือ การเติบโตของการใช้โทรศัพท์มือถือ และการขยายรูปแบบการบริการด้วยการมีแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ มาสนับสนุน รวมทั้งการที่รัฐบาลออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชน ด้วยการเพิ่มการหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทซอฟต์แวร์ในปีแรกสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีได้ถึง 40% หรือการหักค่าเสื่อมซอฟต์แวร์ให้หมดภายใน 3 ปี จากเดิมที่ต้องหักถึง 10 ปี ต่างล้วนเป็นเหตุจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนซื้อซอฟต์แวร์มากขึ้น

"การผลักดันตลาดซอฟต์แวร์ปีนี้ ซิป้า มุ่งสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโมบายแอปพลิเคชั่น และซอฟต์แวร์ Embeded เนื่องจากทำรายได้ในการส่งออกต่างประเทศได้มาก ดังนั้นปีนี้ซิป้าจะผลักดันให้ซอฟต์แวร์ทั้ง 2 ประเภทส่งออกให้กับประเทศญี่ปุ่น อเมริกา เวียดนาม และสิงคโปร์มากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2552 มูลค่าซอฟต์แวร์ที่ส่งออกจะโตขึ้น 20-25%"

ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดไอซีทีในปี 2551 ยังมีการเติบโต้ ก็คือ การที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะช่วยเรียกความมั่นใจจากภาคเอกชนและภาคประชาชนกลับคืนมา โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ การยอมรับสินค้าไอทีที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ขณะที่ภาคเอกชนตระหนักถึงการนำไอทีมาใช้เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สงครามราคาที่ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคง่ายและสั้นขึ้น ค่าเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้ราคาสินค้าถูกลง มาตรการภาษีเพิ่มรายได้ประชาชนด้วยการเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน

จำรัส กล่าวเสริมว่า การรุกตลาดของมินิโน้ตบุ๊กราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ที่จะทำให้เกิดผู้ใช้กลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอาจจะมีปัจจัยลบที่มาจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us