Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2532
ผาสุก เทพมณีจากแบงเกอร์ไปเป็นคนขายกระเบื้องแต่อนาคตอยากเป็นนักการเมือง             
 


   
search resources

ผาสุก เทพมณี




ชื่อ ผาสุก เทพมณี อาจไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนัก แต่ถ้าเอ่ยถึง นพพร พงษ์เวช หนุ่มใหญ่จากซิตี้แบงก์และพวกที่เข้าไปบริหารเอเชียทรัสต์เมื่อ 5 ปีก่อน ส่วนใหญ่ก็คงยังพอจำกันได้ ผาสุกเป็นมือขวาที่นพพรดึงเข้าไปช่วยเขา

ผาสุก เทพมณี วันนี้เขาเป็นหนุ่มใหญ่วัย 42 ปี เป็นคนลำพูน จบมัธยมที่มงฟอร์ดเป็นรุ่นน้องของธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ผู้จัดการใหญ่ไทยพาณิชย์ และเป็นรุ่นพี่ของศิรินทร์ นิมมานเหมินท์ รองผู้ว่าการฝ่ายการเงินของ ปตท. ในปัจจุบัน

ผาสุกจบปริญญาตรีและโทการบริหารธุรกิจจาก UNIVERSITY OF MIAMI และ FLORIDA ATLANTIC UNIVERSITY จากอเมริกา

สมัยนั้นคนจบด้านเอ็มบีเอมามีไม่มากนัก กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานบ้านเรา แม้ว่าเขาจะจบวิชาเอกด้านการตลาด แต่เนื่องจากศิรินทร์ซึ่งเรียนจบจากสแตนฟอร์ดกลับมาก่อน (เพราะผาสุกไปเรียนที่อังกฤษเพื่อเพิ่มเติมความรู้ภาษาอังกฤษที่ IPOWICH CIVIC COLLEGE ที่อังกฤษปีกว่า จึงจบกลับมาทีหลัง) แล้วเข้าทำงานที่ซิตี้คอร์ป ได้ชักชวนให้ผาสุกมาอยู่ด้วยกันที่ซิตี้คอร์ป

ศิรินทร์ ตอนนั้นอยู่ฝ่ายบริหารเงิน (TREASURY) ผาสุกเข้ามาเป็น EXECUTIVE TRAINEE หลังจากนั้นผาสุกก็ได้รับการบ่มเพาะวิทยายุทธ์ตามแบบฉบับของซิตี้แบงก์ที่อบรมความรู้ทุกด้านที่เกี่ยวกับธุรกิจแบงก์เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เป็นลักษณะ ON THE JOB TRAINING

ตำแหน่งสุดท้ายที่ซิตี้คอร์ปของผาสุก คือ ASSISTANT VICE PRESIDENT มีหน้าที่บริหารสินเชื่อ (CORPORATE BANKING GROUP) พร้อมกับเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสินเชื่อของซิตี้คอร์ป มีอำนาจอนุมัติในวงเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ

นับว่าผาสุกเป็นอีกคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นคนหนุ่มที่ผู้บริหารระดับสูงของซิตี้คอร์ปยอมรับในฝีไม้ลายมือ และที่นี่เอง ผาสุกได้รู้จักกับนพพร พงษ์เวช ซึ่งโชคชะตาทำให้เขาสองคนมีความผูกพันใกล้ชิดในเวลาต่อมา !

นพพร พงษ์เวช เป็นคนไทยที่เติบโตในซิตี้คอร์ปอย่างรวดเร็วมากใช้เวลาเพียง 7 ปีในการก้าวขึ้นสู่ VICE PRESIDENT เขาเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ตำแหน่งนี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่บอร์ดของซิตี้แบงก์ในต่างประเทศเป็นผู้แต่งตั้ง

นพพรและผาสุกชอบพออัธยาศัยกันมาก และมีความคิดตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ หากจะก้าวหน้าต่อไปก็ต้องไปใช้ชีวิตแบบยิปซี (INTERNATIONAL GYPSY) เร่ร่อนไปในหลายประเทศ เพราะบริษัทแม่มีนโยบายไม่ให้ผู้บริหารอยู่ที่ไหนเกิน 4 - 5 ปี ซึ่งทั้งสองค่อนข้างกังวลกับอนาคตของครอบครัว โดยเฉพาะลูก ๆ ที่อาจจะต้องร่อนเร่ตามเขาไปด้วย

ครั้นเมื่อจอห์นนี่ มา ผู้จัดการใหญ่ของธนาคารเอเชียทรัสต์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับวารี พงษ์เวช ผู้พ่อของนพพรมาชวนให้ไปช่วยกันบริหารแบงก์ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ซึ่งการเข้าไปกู้กิจการที่กำลังมีปัญหานั้นนับเป็นการที่ท้าทายมากสำหรับคนหนุ่มวัย 30 ต้น ๆ อย่างเขา อีกทั้งแบงก์ชาติเองก็เรียกร้องมืออาชีพให้เข้าไปบริหารรวมทั้งเหตุผลส่วนตัวที่ไม่อยากอยู่ซิตี้แบงก์จนแก่ตายอยู่แล้ว ทำให้เขาตัดสินใจมาทำงานที่เอเชียทรัสต์

นพพรประเมินแล้วว่า เขาทำงานที่นี่คนเดียวไม่ไดแน่ เขาจึงดึงผาสุกให้มาดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ เอา ยงยศ ปาละนิติเสนา ผู้ช่วยของนพพรให้มาเป็นผู้จัดการ

ครั้นเมื่อจอห์นนี่ มา ผู้จัดการใหญ่ของธนาคารเอเชียทรัสต์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับวารี พงษ์เวช ผู้พ่อของนพพรมาชวนให้ไปช่วยกันบริหารแบงก์ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ซึ่งการเข้าไปกู้กิจการที่กำลังมีปัญหานั้นนับเป็นการที่ท้าทายมากสำหรับคนหนุ่มวัย 30 ต้น ๆ อย่างเขา อีกทั้งแบงก์ชาติเองก็เรียกร้องมืออาชีพให้เข้าไปบริหารรวมทั้งเหตุผลส่วนตัวที่ไม่อยากอยู่ซิตี้แบงก์จนแก่ตายอยู่แล้ว ทำให้เขาตัดสินใจมาทำงานที่เอเชียทรัสต์

นพพร ประเมินแล้วว่า เขาทำงานที่นี่คนเดียวไม่ได้แน่ เขาจึงดึงผาสุกให้มาดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ เอายงยศ ปาละนิติเสนา ผู้ช่วยของนพพร ให้มาเป็นผุ้จัดการสำนักบริหารเงินต่างประเทศ และดึงเจ้าหน้าที่มาอีกหลายคนเป็นทีมงานที่แข่งขัน ซึ่งพร้อมจะลงมาลุยงานเต็มที่

ในความเป็นจริงแล้ว เอเชียทรัสต์มีปัญหามากกว่าที่นพพรและพวกคิดไว้มากนัก และด้วยความเป็นคนหนุ่มไฟแรง ซึ่งบางคนมองไปว่า ร้อนวิชา เข้าไปเสนอโน้นเปลี่ยนนี่เต็มไปหมด ที่สุดก็กลายเป็นทะเลาะกับกลุ่มจอห์นนี่มา

30 กรกฎาคม 2527 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่กลุ่มนพพรคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต นพพรถูกคำสั่งไล่ออก ส่วนผาสุก ยงยศ ถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแขวนเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่

เรื่องราวลุกลามจนกระทั่งแบงก์ชาติเข้าไปยึดและเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารสยาม โดยที่นพพร ผาสุก ยงยศ กลับมาในตำแหน่งเดิม ภายใต้การนำของประธานแบงก์ที่ชื่อ เกษม จาติกวณิช โดยมีทีมจากแบงก์ชาติมาร่วมบริหารด้วย โดยวารี หะวานท์ เป็นผู้อำนวยการ

คราวนี้ นพพรและพวกก็ดำเนินธุรกิจได้เต็มที่มากขึ้น เพราะเกษมเข้าใจพวกเขาดี จนตอนหลังฝ่ายนพพรกับฝ่ายวารีไม่ค่อยจะกินเส้นนัก ก็มีการกล่าวหาว่า เกษมไปถือหางและให้ท้ายกลุ่มนพพรมากไป ขณะที่ก็มีเสียงบ่นว่า พวกที่มาจากแบงก์ชาติทำธุรกิจไม่เป็น แต่อย่างไรก็ตาม แบงก์สยามก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มมีกำไรเมื่อไตรมาสที่สองของปี 2530 แต่ก็มีข่าวว่าแบงก์สยามยังต้องขอซอฟท์โลนอีก และเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมต้องมีแบงก์พาณิชย์ของรัฐถึงสองแบงก์ สุดท้ายก็มีการรวมแบงก์สยามเข้ากับกรุงไทย ท่ามกลางความงุนงงและไม่ค่อยพอใจของกลุ่มนพพร รวมทั้งเกษมที่รู้สึกว่า เรือเกือบจะถึงฝั่งอยู่แล้วเชียว ("ผู้จัดการ" เคยเขียนเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 43)

นพพรไปเป็นกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บงล.เอ็มซีซี ยงยศไปเป็นผู้จัดการฝ่ายบริหารเงินแบงก์นครหลวง เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของแบงก์สยาม ส่วนใหญ่ก็พากันไปหางานทำที่อื่นแทบทั้งสิ้น ด้วยไม่ต้องการอยู่ใต้ร่มเงาของกรุงไทย

ผาสุกนั้นเหน็ดเหนื่อยกับการบุกเบิกและจัดระบบฝ่ายสินเชื่อที่เขาใช้เวลากว่า 3 ปีทุกอย่างจึงเริ่มลงตัว ความผิดหวังก็คงมีอยู่ไม่น้อย กอร์ปกับพี่ชายคนที่สอง พิเชษฐ์ เทพมณี ล้มป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคเดียวกับผู้แม่ซึ่งเสียชีวิตไปเกือบ 10 ปีแล้ว ผาสุกอยู่เฉย ๆ ใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายเกือบปีจนพี่ชายเขาสิ้น

อนาคตต่อไปจะทำอะไรดี ? บังเอิญช่วงนั้นมีการยุบสภา (เมษายน 2531) ผาสุกตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งที่ลำพูนบ้านเกิด ในนามพรรคชาติไทย ซึ่งเขามีความสัมพันธ์มาเนิ่นนาน เนื่องเพราะสุรพันธ์ ชินวัตร เป็นญาติกับทางแม่ของเขา อีกทั้งสมัยที่เรียนอยู่ที่ฟลอริดานั้น อยุ่บ้านเดียวกับประสิทธิ์พี่ชายของประภัตร โพธสุธน อดีต รมช.กระทรวงการคลัง

เพื่อนฝูงหลายคนออกจะแปลกใจกับการตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง เพราะไม่เคยมีวี่แววเช่นนั้นมาก่อน ซึ่งผาสุกให้ความกระจ่างกับ "ผู้จัดการ" ว่า

"ความจริงพื้นฐานครอบครัวผมใกล้ชิดกับการเมืองระดับท้องถิ่นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน คุณพ่อเคยเป็นผู้แทนลำพูนหลายสมัยเพิ่งจะมาไม่ได้ในสองครั้งหลังนี้เอง แต่หลังจากนั้นก็ได้เป็นนายกเทศมนตรี พี่ชายคนโต สันต์ เทพมณี เคยเป็นอดีต รมช.มหาดไทย สมัยอาจารย์เสนีย์เป็นนายกฯ และพี่ชายคนที่สอง ซึ่งเพิ่งเสียไปก็เป็นอดีตนายกเทศมนตรีอีกเหมือนกัน ผมจึงสใจการเมืองมาตลอด และคิดว่าวันหนึ่งถ้าประเทศชาติต้องการผมยินดีรับใช้"

ความฝันของเขาเป็นหมันเมื่อพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยิน !!!

ผาสุกต้องมานั่งถามตัวเองอีกครั้งว่า แล้วต่อไปจะทำอะไรแล้วก็มาลงตัวกับกลุ่มโรยัล โฮลดิ้ง ของตระกูลสังขะทรัพย์ (ผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจนี้ คือ อุดม สังขะทรัพย์ ซึ่เงสียชีวิตไปหลายปีแล้ว) โดยเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทอาร์ซีไอ. (ROYAL CERAMIC INDUSTRY)

ผาสุกรู้จักตระกูลนี้ผ่านนพพร เพราะว่าอุดม สังขะทรัพย์ เป็นเพื่อนนักเรียนที่เรียนด้วยกันที่ญี่ปุ่นกับวารี พงษ์เวช และ สมหมาย ฮุนตระกูล นพพรสนิทกับลูก ๆ ของอุดม ซึ่งเป็นผู้หญิงล้วน 5 คน

ในฐานะที่เป็นแบงก์เกอร์เก่าที่อยู่ฝ่ายสินเชื่อมานานได้มีโอกาสเข้าไปดูโรงงานอุตสาหกรรมของลูกค้ามามากต่อมาก เขาจึงใช้เวลาเรียนรู้ไม่มากนัก เขาได้รับมอบหมายให้มาดูแลการบริหารภายในทั้งหมดของอาร์ซีไอ. โดยเฉพาะการวางระบบการเงินและการติดต่อกับธนาคาร

"แนวโน้มของธุรกิจนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากธุรกิจที่ขาดทุน เราก็เริ่มกำไรเข้ามาแล้ว ตอนนี้เราผลิตไม่ทันขาย ซึ่งไม่เฉพาะแต่เราคู่แข่งก็เช่นกัน นั่นเป็นเพราะอุตสาหกรรมก่อสร้างมันบูมหลัก ๆ แล้วผมก็เข้ามาจัดระบบภายในให้เป็นระบบยิ่งขึ้น เพราะเรามีแผนการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ นี่คงเป็นเหตุผลด้วยอย่างหนึ่งที่ดึงเอามืออาชีพเข้ามาเตรียมระบบให้พร้อม" ผาสุกพูดถึงงานใหม่

อย่างไรก็ตาม ผาสุกคงไม่ขายกระเบื้องตอลดไป เพราะเขายังอยากเป็นนักการเมืองอยู่ทุกลมหายใจ การแพ้เลือกตั้งคราวนั้นมิได้ทำให้เขาท้อถอย

"ผมรู้สึกว่าคนรุ่นเดียวกับผมมองการเมืองเป็นเรื่องสกปรก ไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วเมื่อไหร่จะดีขึ้นมาได้ ผมเป็นห่วงบ้านเมืองครับ และรู้สึกผู้แทนที่รู้เรื่องเศรษฐกิจการเงินมีน้อยมาก อย่างคุณพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธุ์ เข้าไปผมว่าดีนะครับ ผมเชื่อในอุดมการณ์ของประชาธิปไตย ผมคิดว่า ผมอยากเข้าไปเป็นปากเสียงให้ประชาชน" ผาสุกเปิดใจ

ถ้าผาสุกยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ สักวันหนึ่งเราอาจจะมี ส.ส.ชื่อผาสุก เทพมณี ก็เป็นได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us