|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"พิชิต"เผยความคืบหน้าบริษัทร่วมทุน เอ็มเอฟซี-ธสน.ใกล้ความจริง Q2 มีโอกาสจัดตั้ง แต่หวั่นบริษัทลูกที่ตั้งสาขาในต่างประเทศติดเกณฑ์บางประการ เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกระทรวงการคลังเหมือนกัน แต่มั่นใจเป็นประโยชน์ทั้งด้านการลงทุน และช่วยเหลือผู้ส่งออก ขณะเดียวกันเตรียมงัดกองพันธบัตรลงทุน6-7 ประเทศในทวีปเอเชีย ให้ผลตอบแทน 3.5% ล่อใจนักลงทุนช่วงเดือนหน้า
นายพิชิต อัครทิพย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด มหาชน กล่าวถึง ความคืบหน้าของการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ภายหลังการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 2/2551 เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ระหว่างเวลา 10.30 น. - 12.00 และได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วในวันเดียวกัน โดยที่ประชุมได้มติให้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางให้คำปรึกษา กับลูกค้าธุรกิจนำเข้าส่งออก เพื่อแก้ปัญหากับการติดต่อทำธุรกิจ เนื่องจากคู่ค้าในต่างประเทศกังวลเกี่ยวกับ การข้อตกลงในการทำการค้า
ทั้งนี้ คาดว่าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 โดยมีสัดส่วนการลงทุนของเอ็มเอฟซีในบริษัทดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 49 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท คิดมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 17.5 ล้านบาท
สำหรับลักษณะการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน ไทย เอ็กซิม อินเตอร์เนชั่นนอล จะออกไปในรูปแบบของการตั้งสาขาในต่างประเทศที่ผู้ลงทุนไทยสนใจลงทุน โดยเป้าหมายแรกจะเป็นการส่งเสริมผู้ลงทุนไทยก่อนเป็นหลัก โดยเฉพาะการส่งเสริมการส่งออกและนักลงทุนไทยจะไปลงทุนในประเทศเหล่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นเป้าหมายรอง ในการดึงผู้ประกอบการในประเทศนั้น เข้ามาลงทุนกับบลจ.เอ็มเอฟซี รวมถึงการนำกองทุนต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ออกไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นด้วย
"ที่ผ่านมาผู้ประกอบการมักมีปัญหาในเรื่องของความเข้าใจกันของผู้ซื้อสินค้า และผู้ส่งออก คนซื้อเองไม่แน่ใจว่าจะได้สินค้าหรือเปล่า หรือเงินจะถึงมือคนขายหรือไม่ แลบริษัทร่วมทุนนี้จะตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา แต่ในส่วนของเอ็มเอฟซีเราจะดูแลเรื่องของการลงทุน และจะมีตั้งเป็นกองทุนคันทรีฟันด์ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งในตลาดและนอกตลาดขณะเดียวกันเราเองก็อาจจะจัดตั้งกองทุนเอฟไอเอฟออกไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นด้วย"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิต กล่าวอีกว่า ในส่วนของการตั้งสาขาในต่างประเทศขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะติดกฎเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อะไรหรือไม่ เนื่องจากบลจ.เอ็มเอฟซี และธสน.เอง มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งการที่จะจัดตั้งสาขาในต่างประเทศ และบริษัทลูกที่ตั้งขึ้นจะต้องอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลังด้วย หรือจะสามารถบริหารงานได้เองอย่างอิสระยังไม่ชัดเจนนัก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการตั้งสาขาในต่างประเทศน่าจะทำได้ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งกองทุนคันทรีฟันด์ จากต่างประเทศเองยังสามารถเข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยได้ ซึ่งบริษัทร่วมทุนที่จะตั้งขึ้นควรที่จะทำได้ด้วยเช่นกัน
นายพิชิต กล่าวอีกว่า นอกจากบริษัทจะมีแผนการตั้งสาขาของบริษัทร่วมทุนในต่างประเทศแล้ว ในไตรมาส 2 ของปีนี้ยังมีแผนที่จะออกกองทุนร่วมพันธบัตรต่างประเทศเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอีกด้วย ซึ่งนโยบายการลงทุนของกองทุนนี้จะแตกต่างจากกองทุนพันธบัตรต่างประเทศทั่วๆ ไป โดยจะมีการลงทุนในพันธบัตรที่มีเรตติ้งดีประมาณ 6-7 ประเทศ และคาดว่าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 3.5%
ทั้งนี้ การคัดเลือกประเทศที่จะลงทุนนั้นบริษัทจะดูอันดับความน่าเชื่อถือ การเมืองและการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ เป็นหลัก และน่าจะเป็นประเทศในแถบเอเชียเป็นหลักร่วมถึงประเทศเกาหลีใต้ด้วย อย่างไรก็ตามกองทุนนี้ยังอยู่ระหว่างการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. แต่คาดว่าจะสามาถรเปิดขายให้กับนักลงทุนได้ประมาณเดือนพฤษภาคมนี้
“ประเทศที่เราดูอยู่ตอนนี้มีประมาณ 7-8 ที่ โดยจะดูเครดิตดีกว่าไทย ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มเอเชียที่ให้ผลตอบแทนสูง และน่าจะมีความน่าเชื่อถือทางการเมือง และการเติบโตของจีดีพีเป็นหลัก ซึ่งก็น่าจะมีเกาหลีใต้อยู่ในนี้ด้วย” นายพิชิตกล่าว
|
|
|
|
|