Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 เมษายน 2551
"PTTCH"เล็งออกหุ้นกู้1.4 หมื่นล.ใช้ลงทุน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

   
search resources

อดิเทพ พิศาลบุตร์
Oil and gas
ปตท. เคมิคอล, บมจ.




ปตท.เคมิคอลเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้ 9 หมื่นล้านบาท เหตุราคาเม็ดHDPE สดใสและรับรู้รายได้จากTOL มั่นใจธุรกิจเติบโตทุกปีละเฉลี่ย 15%ไปอีก 5ปี แย้มเตรียมออกหุ้นกู้ปีนี้ 1.4 หมื่นล้านบาทใช้ลงทุนเพิ่มเติม รวมทั้งศึกษาลู่ทางลงทุนโครงการผลิตโพลีคาบอเนตในอนาคต ด้านบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น ยอมรับราคาน้ำมันผันผวน ฉุดมาร์จินอะโรเมติกส์หดและค่าการกลั่นทั้งปีแค่ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล แต่โชคดีปีนี้จะรับรู้รายได้จากโครงการอะโรเมติกส์เฟส 2 และโครงการอัพเกรด คอมเพล็กซ์ ทำให้มีน้ำมันเข้ามาเพิ่มอีก 4 หมื่นบาร์เรล/วัน เผยผู้ถือหุ้นไฟเขียวออกหุ้นกู้วงเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีนี้จะใช้เงินลงทุน 557 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 9 หมื่นล้านบาทจากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้ 8 หมื่นล้านบาท มาจากการรับรู้รายได้ของบริษัทไทยโอลีโอเคมี (TOL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจำนวน 8 พันล้านบาท โรงงานเดินเครื่องผลิตเต็มที่โดยไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงเหมือนปีที่แล้ว ราคาผลิตภัณฑ์ยังพลาสติกยังมีราคาสูง แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์MEGจะอ่อนตัวลงจาก 1,600 เหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ตันก็ตาม แต่ปีนี้ราคาเม็ดพลาสติกชนิดHDPE มีราคาโดดเด่นมากล่าสุดอยู่ที่ตันละ 1,600 เหรียญสหรัฐ ทำให้มาร์จินสูงอยู่ แต่ครึ่งปีหลังราคาHDPEน่าจะอ่อนตัวลงมา

จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ราคาแนฟธา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจนปัจจุบันอยู่ที่ 880-900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้บริษัทมีการปรับลดการใช้แนฟธาลง หันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิตโอเลฟินส์แทน ซึ่งราคาก๊าซฯเองก็มีการปรับขึ้นไปไม่มากประมาณ 20% ต่ำกว่าแนฟธาที่ปรับขึ้นไป 100% ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบ

รวมทั้งบริษัทได้มีการกระจายความเสี่ยงโดยหันไปลงทุนต่อยอดในธุรกิจขั้นปลายน้ำ (ดาวน์สตรีม) เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวัฎจักรราคาขาลง หากมีกำลังการผลิตใหม่ๆเกิดขึ้นในประเทศแถบตะวันออกกลาง ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้จะขยายตัวต่อเนื่องปีละ 15%เป็นเวลา 5 ปีนับจากนี้ โดยปี 2555 คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท เป็นผลจากการรับรู้รายได้โครงการการลงทุนต่างๆแล้วเสร็จ

นายอดิเทพ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนใช้เงินลงทุนโครงการต่างๆประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากผลการดำเนินงานและการออกหุ้นกู้ โดยเตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 3.9 หมื่นล้านบาท บริษัทฯได้มีการสว็อปหนี้สกุลเงินอื่นๆเป็นดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว 65% และมีเป้าหมายจะทยอยสว็อปหนี้เป็นสกุลดอลลาร์ให้ได้ 80%ของหนี้รวม เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้และค่าใช้จ่ายที่อิงดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างหนึ่ง

ส่วนกรณีที่บริษัทฯได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท เอชเอ็มที โพลีสไตรีน จำกัด (HMT) โดยบริษัท ไทยสไตรีนิคส์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดยบริษัทย่อย คือ พีทีที โพลีเอทิลีน นายอดิเทพ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มชนิดสินค้าพลาสติกสนองความต้องการของลูกค้าที่เดิมมีจำหนายแต่ผลิตภัณฑ์เม็ดHDPE LLDPE และLDPE โดยบริษัทฯจะเข้าไปบริหารงาน ทำให้เม็ดพลาสติกโพลีสไตรีน (PS) จะเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดตั้งแต่พ.ค.เป็นต้นไป

HMT เป็นผู้ผลิตโพลีสไตรีน ในไทย ที่กำลังการผลิตรวม 90,000 ตันต่อปี ทรัพย์สินที่เข้าซื้อดังกล่าวประกอบด้วย โรงงานผลิตโพลีสไตรีน รวมทั้งอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในบริเวณ โรงงาน ในราคา 99 บาท โดยบริษัทฯจะใส่เงินทุนหมุนเวียนอีก 100 ล้านบาทในการดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการนี้ไม่มากนัก

นอกจากนี้ บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตโพลีคาร์บอเนต ซึ่งเป็นธุรกิจต่อเนื่องจากBPA มาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งปัจจุบันไทยมีโรงงานผลิตโพลีคาร์บอเนตอยู่ 2 แห่ง ซึ่งต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศปีละหลายแสนตัน

ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯอนุมัติลงทุนโครงการ Bis-Phenol-A (BPA) ภายใต้การดำเนินการของบริษัท พีทีทีฟีนอล จำกัด (PPCL) ซึ่งถือหุ้นโดยบมจ. ปตท. 40% บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น 30% และบริษัทฯ 30% ใช้เงินลงทุนรวม 251 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินที่บริษัทฯลงทุน 1,280 ล้านบาท โดยใช้ฟีนอลและอะซีโตนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด เป็นวัตถุดิบ

ผลการดำเนินงานของปตท.เคมิคอลในปี 2550 บริษัทฯมีรายได้รวม 7.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 7.38 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.91 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.82 หมื่นล้านบาท

รายได้กลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯเริ่มลด

นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. กล่าวว่า ในปีนี้ผลการดำเนินงานของปตท.ยังเติบโตต่อเนื่อง มาจากการรับรู้รายได้ของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.)ที่จะมีผลประกอบการดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีมีแนวโน้มที่จะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องราคาน้ำมัน ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ(สเปรด)แคบลง แต่เชื่อว่าผลการดำเนินงานของบมจ.ปตท.เคมิคอลยังดีอยู่ และมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากจีนและอินเดียยังเป็นตลาดที่สำคัญ แม้ว่าทั้ง 2ประเทศจะมีโรงปิโตรเคมีทะยอยแล้วเสร็จก็ตาม

"ช่วงนี้นักลงทุนมีการขายทิ้งหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีค่อนข้างมาก เนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางและอินเดียเข้ามามาก ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวลง แต่เชื่อว่าคงมีบางโครงการต้องดีเลย์ออกไป เพราะราคาวัตถุดิบปรับตัวสูง ดังนั้นเชื่อว่าปีนี้ยังไม่ใช่วัฎจักรขาลง"นายพิชัย กล่าว

น้ำมันพุ่งฉุดค่าการกลั่นต่ำ-สเปรดอะโรฯหด

นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้สเปรดของธุรกิจอะโรเมติกส์แคบลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบคือคอนเดนเสทมีราคาสูงขึ้น จึงได้มีการนำรีฟอร์เมทจากโรงกลั่นไปใช้ผลิตแทนบางส่วน ทำให้ต้นทุนต่ำลง และเมื่อโครงการUpgrading Complex แล้วเสร็จ จะทำให้บริษัทฯสามารถจัดหาน้ำมันดิบที่มีคุณภาพด้อยมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป ช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันได้บาร์เรลละ 1 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าการกลั่นของบริษัทในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมสต็อกน้ำมัน) เนื่องจากราคาน้ำมันผันผวน และต้องจับตาดูผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯว่าจะลุกลามแค่ไหน

"ขณะนี้ราคาพาราไซลีนอยู่ที่ตันละ 1,320 เหรียญสหรัฐ เบนซีน 1,075 เหรียญสหรัฐ/ตัน และแนฟธาอยู่ที่ 880 เหรียญสหรัฐ ทำให้สเปรดค่อนข้างแคบลงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยช่วงที่ผ่านมามีการใช้สต็อกพาราไซลีนไปมาก เชื่อว่าจะมีดีมานด์พาราไซลีนเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3นี้ ส่วนราคาจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในช่วงนั้น โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 5.8 แสนบาร์เรล/วันของอินเดียจะดีเลย์หรือไม่ "

สำหรับแผนการลงทุน 5ปีนี้(2551-2555) บริษัทจะใช้เงินลงทุน 1,223 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้เงินลงทุนในโครงการรีฟอร์เมท(อะโรเมติกส์ คอมเพล็กซ์เฟส 2) โครงการUpgrading Complex โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตร่วม (ซินเนอจี้ โปรเจ็กต์) โครงการยูโร 4 และโครงการบริษัทย่อย

โดยปีนี้บริษัทฯจะใช้เงินลงทุน 557 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนตัวเลขการลงทุนโครงการยูโร 4 ที่จะใช้เงินลงทุน 100 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ว่าจะอาจจะปรับลดการใช้เงินลงได้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในพ.ค.นี้ แต่บริษัทฯได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯวานนี้(10 เม.ย.) เพื่อออกหุ้นกู้สกุลบาทหรือสกุลต่างประเทศเทียบเท่าหรือไม่เกิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5ปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าช่วงนี้ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงเร็ว และอัตราภาวะดอกเบี้ยต่ำ น่าจะเป็นจังหวะเหมาะที่จะออกหุ้นกู้เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆหรือรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ที่มีอยู่เดิมประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

"บริษัทอาจะออกหุ้นกู้เป็นสกุลบาทแล้วสว็อปเป็นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกหุ้นกู้สกุลเงินสหรัฐฯ โดยจะเป็นการทยอยออก ส่วนจะเป็นเมื่อไร และเท่าไรขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะตลาดที่ดีที่สุด"

นายชายน้อย กล่าวว่า บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการอะโรเมติกส์ เฟส 2 ขนาดกำลังผลิต 1.1 ล้านตันในช่วงเดือนส.ค.นี้ โดยเบื้องต้นจะมีปริมาณการผลิตในปีนี้จำนวน 2.5 แสนตัน และปลายปี2551 จะมีผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาเพิ่มอีก 4 หมื่นบาร์เรล/วันจากโครงการUpgrading Complex ทำให้รายได้บริษัทฯขยายตัวขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us