ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับสองหมื่น นายเกษม ใจหงษ์ อดีตผู้ว่าฯ กฟน.ฐานสั่งแก้ราคากลางประกวดวางท่อร้อยสายใต้ดินโครงการจิตรลดา 635 ล้าน เอื้อประโยชน์ อิตาเลียนไทย แต่ไม่เคยต้องโทษมาก่อน ศาลปรานีให้รอลงอาญา 2 ปี สั่งทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ 16 ชม. เจ้าตัวยันบริสุทธิ์จะเดินหน้าขออุทธรณ์หวังศาลยกฟ้อง
วานนี้(9 เม.ย.)เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 609 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษา ในคดีดำที่ อ.2335 /2550 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเกษม ใจหงษ์ อดีตผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 28 ก.ค.50 สรุปว่า เมื่อปี 2538 การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการจ้างงานก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินโครงการจิตรลดา รวมเป็นเงิน 635 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23-26 เม.ย.39 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานคณะทำงานเพื่อกลั่นกรองเรื่องการซื้อและการจ้าง เมื่อวันที่ 15 ก.ค.41 มีบุคคลใช้ชื่อว่าผู้บริหารคนหนึ่งร้องเรียนเป็นบัตรสนเท่ห์จากการไฟฟ้านครหลวง ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) กล่าวโทษจำเลยว่ากระทำความผิด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันเป็นลำดับขั้นตอนว่า ในการซื้อและการจ้างบริษัทเอกชน เพื่อดำเนินการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินโครงการจิตรลดานั้น มีการประมาณราคากลาง 2 ครั้ง เนื่องจากพบว่าราคาที่ตั้งไว้ต่ำเกินไป ซึ่งการประมาณราคากลางของคณะกรรมการประมาณราคากลาง แก้ไขตัวเลขที่ 616,222,000 บาท เมื่อบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ราคาจะอยู่ที่ 659,357,540 บาท โดยกำหนดระยะก่อสร้าง 900 วันตามเงื่อนไขการก่อสร้าง แล้วเมื่อวันที่ 25 เม.ย.39 เวลา 19.00 น. จำเลยโทรศัพท์แจ้งให้แก้ไขการประมาณราคากลางใหม่ครั้งที่ 3ให้สูงขึ้น เพราะมีการลดเวลาก่อสร้างจาก 900 วัน เหลือ 780 วัน และมีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง แต่จำเลยไม่ได้แจ้งตัวเลขว่าจะให้ประมาณราคากลางสูงเท่าใด ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นรองผู้ว่าฯ กฟน. ส่วนวิชาการและแผนงาน และเป็นประธานคณะทำงานกลั่นกรองเรื่องการซื้อและการจ้าง ตามคำสั่งการไฟฟ้านครหลวงที่ 26/2538 มีอำนาจหน้าที่ กลั่นกรอง การซื้อและการจ้างงาน จำเลยย่อมทราบรายละเอียดแผนงานการก่อสร้าง การออกแบบการก่อสร้าง เป็นอย่างดี ซึ่งมีผลต่อการประมาณราคากลาง ที่เมื่อมีการแก้ไขการประมาณราคากลางแล้วทำให้บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) ได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
การที่จำเลยทำการแก้ไขการประมาณราคากลางทั้งที่คณะกรรมการการประมาณราคากลาง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเห็นชอบ แล้วต่อมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.39 จำเลยได้เสนอราคาที่มีการแก้ไขครั้งที่ 3 มูลค่า 688,216,050.24 บาท ต่อที่ประชุมผู้บริหารแล้วต่อมาผู้ว่าฯ กฟน.เห็นชอบ ซึ่งได้มีการเสนอราคาดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กฟน. และมีมติอนุมัติการก่อสร้างให้กับ บมจ.อิตาเลียนไทย เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยระเบียบและการปฏิบัติของ กฟน.
ที่จำเลยอ้างว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมาณราคากลางครั้งที่ 3 โดยการเสนอราคาประมาณกลางต่อที่ประชุมผู้บริหารขณะนั้น ไม่มีการสอบถามรายละเอียดการประมาณราคากลาง ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า มีการแก้ไขการประมาณราคากลาง จำเลยในฐานะประธานคณะทำงานกลั่นกรองฯ ต้องเสนอรายละเอียดให้ที่ประชุมทราบว่า มีการแก้ไขราคาครั้งที่ 3 เป็น 688,216,050.24 บาท จากราคาเดิมคือ 659,357,540 บาท โดยมีการลดเวลาก่อสร้างจาก 900 วัน เหลือ 780 วัน และ บมจ.อิตาเลี่ยนไทย เสนอการก่อสร้างในการจัดวางท่อโดยไม่ต้องเปิดทางลึก การกระทำของจำเลยจึงส่งผลให้ กฟน.เกิดความเสียหายที่ต้องจ่ายเงินการจ้างเพื่อดำเนินโครงการในราคาที่สูงขึ้น พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนัก มั่นคง รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ ทำให้ บมจ.อิตาเลียนไทย ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานต่อองค์กรรัฐฯ มาตรา 11 ให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี และปรับ 20,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้ มีกำหนด 2 ปี และให้จำเลย ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมตามที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 16 ชั่วโมง หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30
ภายหลังฟังคำพิพากษานายเกษม อดีตผู้ว่าฯ กฟน.แสดงสีหน้าซึมเศร้า โดยกล่าวว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไปเพื่อขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้ทำผิด และไม่ได้กระทำการใดๆ ที่ให้ บมจ.อิตาเลียนไทยได้รับประโยชน์
|