|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ค่าการกลั่นมีแนวโน้มกลับมาโชว์ฟอร์มสูงอีกครั้ง เหตุความต้องการใช้น้ำมันในเอเชียยังสูงต่อเนื่อง สวนทางกำลังการผลิตลด โบรกแนะให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้มากกว่าปกติ
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เกียรตินาคิน แนะนำ เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยให้น้ำหนักการลงทุนใน TOP และ PTTEP จากราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยไตรมาส 1/2551 อยู่ที่ 97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อนและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 8.40 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าระยะสั้นทิศทางราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงจากการเทขายทำกำไรของ Hedge Fund รวมทั้งความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐ
ถึงทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้นจะปรับตัวลดลง แต่ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบไตรมาสแรกของปีนี้ อยู่ที่ 97.07 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 57.96 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาแรกของปี 2550 และ 88.91 เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 จะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการไตรมาส1/2551 ของ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาขายที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันทำให้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2551 จะเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน จึงแนะนำซื้อลงทุน ราคาเป้าหมาย 195 บาท
ส่วนสถานการณ์โรงกลั่นยังมีทิศทางที่ดี จากค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยค่าการกลั่นสิงคโปร์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ 8.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 10.50% จากปีก่อน และ 27.60% จากเดือนก่อน
ด้านทิศทางค่าการกลั่นต่อจากนี้ไปยังแข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการติดตามข่าวมีการประกาศของ SK Energy ลดการส่งออก Gas Oil ในเกาหลีใต้ และการประกาศของ PetroChina ในการหยุดการส่งออก Gasoline ในเดือนเมษายน รวมทั้งการสั่งซื้อ Gas Oil เพิ่มขึ้นของ Indian Oil เพื่อส่งมอบในเดือนพฤษภาคม 2551
ขณะที่กำลังการผลิตในภูมิภาคคาดว่าจะปรับตัวลดลง หลังโรงกลั่นน้ำมัน S-Oil ในเกาหลีใต้ ประกาศหยุดเดินเครื่องจักรนอกฤดูกาล เนื่องจากปัญหาด้านกระแสไฟฟ้าที่ขัดข้อง โดยรงกลั่นดังกล่าวมีกำลังการผลิตกว่า 580 KBD คิดเป็น 2.60% ของกำลังการกลั่นรวมในภูมิภาค และ 0.8% ของกำลังการกลั่นทั่วโลก ทำให้มองว่าระยะสั้นทิศทางของค่าการกลั่นในครึ่งปีแรกยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง จึงยังให้น้ำหนักการลงทุนใน PTTEP และ TOP จากปัจจัยบวกในเรื่องของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 13% จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ และลดลงกว่า 21% จากสิ้นปี 2550 ขณะที่ SET ปรับตัวลดลงเพียง 5% จากสิ้นปี 2550 มองว่าปัจจัยลบที่มากระทบจะมาจากความกังวลเกี่ยวกับการบริโภคน้ำมันในสหรัฐที่คาดว่าจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งกำลังการผลิตที่จะเข้ามาใหม่ของโรงกลั่น Reliance ในประเทศอินเดีย ขนาดกำลังการผลิตกว่า 580 KBD ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงครึ่งปีแรก
ฝ่ายวิจัยมองว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นกว่า 22% จาก 225 KBD ในปี 2550 เป็น 275 KBD ในปี 2551 รวมทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตกว่าเท่าตัวของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (TPX) จะเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ TOP ขณะที่การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของค่าการกลั่นในช่วงของต้นปีนี้ จะทำให้ค่าการกลั่นเฉลี่ยในปี 2551 ไม่น้อยกว่า 7 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ในปี 2550 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.64 เหรียญต่อบาร์
ทิศทางของผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2551 จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติไม้น้อยกว่า ไตรมาส 4/2550 แม้ว่าโรงงาน TPX จะอยู่ระหว่างการหยุดเพื่อขยายกำลังการผลิต แต่กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น 50 KBD หรือกว่า 22% จากปีก่อน ขณะที่การหยุดโรงงาน TPX บริษัทจะมีรายได้จากการขาย MX ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต PX ชดเชยรายได้ที่หายไปจากการหยุดโรงงาน TPX จึงยังให้น้ำหนักการลงทุนสำหรับ TOP โดยประเมินราคาที่เหมาะสมที่ 100 บาท ยืนคำแนะนำซื้อลงทุน
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ประเมินว่า แนวโน้มค่าการกลั่นในไตรมาส 2/2551 มีโอกาสปรับตัวสูงกว่าปัจจุบันที่แกว่งตัวที่ระดับ 10เหรียญสหรัฐได้ เนื่องจากความต้องการใช้นำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขยายตัวอย่าง จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ในไตรมาส 2/2551 ผู้ประกอบการโรงกลั่นในเอเชียจะปิดโรงงานซ่อมบำรุงเครื่อง จึงส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากปริมาณที่ลดลง ซึ่งผู้ประกอบการในไทย เช่น TOP , PTTARไม่มีแผนการซ่อมบำรุงในช่วงนี้ จึงจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ TOP เพราะมองว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายค่อนข้างมาก และมองว่า TOP จะได้ประโยชน์จากการการปรับตัวของค่าการกลั่นในครั้งนี้สูงสุด เพราะเป็นโครงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีกำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง และจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 22% เป็น 2.75 แสนลิตรต่อวันในไตรมาส 2/2551 รวมทั้งมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
สำหรับ บล.กสิกรไทย ระบุว่าได้เริ่มการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี (PTTCH) และกลุ่มโรงกลั่น (IRPC, PTTAR และ TOP) อีกครั้ง โดยยังคงให้น้ำหนักการลงทุนที่ระดับ Overweight ทั้งนี้แนวโน้มในระยะสั้นของทั้งสองกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงสดใสเนื่องจาก 1.ค่าการกลั่น (GRM) และส่วนต่างปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับสูงและคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกในไตรมาส 2/51 เนื่องจากผู้ประกอบการมักปิดปรับปรุงโรงงานในช่วงดังกล่าวของปี และ 2. คาดว่าการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จะเสร็จสิ้นลงในเดือนเมษายนนี้
|
|
|
|
|