Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 มิถุนายน 2546
"มิ้ง" ตั้งกองทุนอุ้มหนี้บางจาก             
 


   
search resources

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
บางจากปิโตรเลียม, บมจ.
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
ชัยอนันต์ สมุทวณิช
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
Energy




หมอมิ้งไอเดียกระฉูดเตรียมศึกษา แผนตั้งกองทุนใหม่ อุ้มหนี้บริษัทบางจากดึงประชาชนเข้ามาร่วมทุนคล้าย "กองทุนวายุภักษ" ก่อนรุกคืบเจรจาคลังหนุน โดยกองทุนฯนี้รัฐการันตีและให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก ขณะที่แผนแปรรูป กิจการไฟฟ้าเตรียมจ้างที่ปรึกษาดูแผนภาพรวมยันยังไม่ได้เลือกที่ปรึกษาใดๆ

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าหลังจากที่รัฐบาล เห็นชอบแนวทางการศึกษาของนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เป็นประธานศึกษาการแก้ไขปัญหาบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ไปแล้วนั้นล่าสุดตนมีแนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนขึ้นมารับภาระหนี้สินของบริษัทบางจากที่กำหนดครบชำระปีนี้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนนี้จะมาจากเงินของรัฐบาลและจากการระดมทุนของประชาชนทั่วไปวงเงินอาจจะมีประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออาจมาจากผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ของบางจากฯในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่มีมากกว่า 1,000 ล้านบาท

สำหรับกองทุนดังกล่าวจะเป็นคนละกองทุนกับ กองทุนวายุภักษ์ที่กระทรวงการคลังจะจัดตั้งขึ้นมา ใหม่ แต่หลักการคล้ายกัน คือ จะให้ผลตอบแทน ต่อประชาชนที่เข้ามาซื้อตราสารหรือหุ้นกู้แปลงสภาพเพื่อร่วมทุนในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 1% โดยอัตราผล ตอบแทนอาจจะอยู่ประมาณ 3-4% จึงเชื่อว่าประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือบางจากฯจะเข้ามาซื้อตราสารดังกล่าว ช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องล้น ระบบและประชาชนก็ไม่มีความเสี่ยงเพราะรัฐบาล จะเข้ามาค้ำประกันผลตอบแทนให้

น.พ.พรหมินทร์กล่าวว่าเมื่อกองทุนฯดังกล่าวตั้งขึ้นมาแล้วจะไปรับสภาพหนี้ของบางจากฯ 6,000 ล้านบาท จากหนี้ของบางจากฯที่มีทั้งหมด 20,000 ล้านบาท และเมื่อกองทุนฯรับสภาพหนี้แล้ว บางจากฯจะมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนลดลง จากปัจจุบัน 4.36 ต่อ 1 เหลือ 2.2 ต่อ 1 แต่ความสามารถการชำระหนี้จะเพิ่มจาก 1.24 เท่าเป็น 2.8 เท่า ทำให้บางจากฯสามารถกู้เงินหรือระดมทุนได้ เองในการดำเนินกิจการ ประกอบกับธุรกิจของบางจากฯสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองหากไม่มีปัญหา หนี้ ดังนั้น หนี้ที่เหลือก็จะสามารถจัดการได้ และ ในอนาคตเมื่อบางจากฯมีผลประกอบการดีขึ้น กองทุนฯก็อาจจะแปลงตราสารมาเป็นหุ้นสามัญในบางจากฯ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยังได้กล่าวถึง นโยบายการแปรรูปกิจการไฟฟ้าซึ่งประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ว่ากระทรวงพลังงานเตรียมว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษามาดูภาพรวม การแปรรูป 3 การไฟฟ้าว่าควรจะดำเนินการ รูปแบบใด โดยจะเป็นการว่าจ้างควบคู่ไปกับแต่ละองค์กรที่ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดูแผนการแปรรูปของตนเอง ซึ่งการมองถึงภาพรวม เนื่อง จาก 3 การไฟฟ้า มีผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกันในเรื่องการขายไฟฟ้า หากองค์กรใดมีรายได้มาก เกินไป ก็อาจจะทำให้กระทบต่อราคาหุ้นของหน่วยงานที่เหลือ

"ปัจจุบัน กฟน.ต้องเข้าไปจ่ายเงินช่วยเหลือ ค่าไฟฟ้าแก่กฟภ. เพื่อให้ค่าไฟฟ้าเท่ากันทั่วประเทศ ซึ่งกรณีนี้คงไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมต่อ กฟน. ดังนั้น รูปแบบใหม่ก็อาจจะให้กฟผ. กำหนดราคาขายแก่ กฟภ.ต่ำกว่า กฟน. และอาจ จะไม่จำเป็นต้องมีการตั้งองค์กรกำกับดูแลมาดูเรื่องระบบไฟฟ้าทั้งหมดก่อนแปรรูปโดยกระทรวง พลังงานอาจจะเข้ามาดูตรงจุดนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาจะต้องมีการเปรียบเทียบว่าแนวทาง ไหนจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ" น.พ. พรหมินทร์ กล่าว

สำหรับกรอบการแปรรูปโดย กฟผ.จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนมีนาคม 2547 กฟน.จดทะเบียนไตรมาสที่ 3 ปี 2547 และกฟภ.จดทะเบียนในไตรมาสที่ 4 ปี 2547 มีมูลค่าการกระจายหุ้นรวมกันนับแสนล้าน บาท ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานยังเน้นการ จัดทำยุทธศาสตร์การลดการใช้พลังงานโดยจะนำเรื่องอัตราโบนัสมาใช้สำหรับระบบราชการ ซึ่ง หากหน่วยงานใดไม่สามารถลดการใช้พลังงานได้ ตามกำหนดในสัดส่วน 5% ก็จะลดการให้โบนัส ส่วนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก็จะชักจูงด้วยการลดภาษีเงินได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us