|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เปิดเกมรุกเมเจอร์ฯ เจาะอสังหาฯ ไฮเอนด์ครบไลน์ ผนึกเอไอจีเคลื่อนทัพลุยตลาดใหม่ “ซุปเปอร์ลักชัวรี่” เจาะช่องว่างตลาดเปิดตัวคอนโดหรู ตร.ม. ละ 1.5 แสนกลางสุขุมวิท พลิกที่ดินหัวหินลุยธุรกิจโรงแรมเสริมคอนโด สร้างรายได้ระยะยาว
แม้ผลสำรวจราคาเฉลี่ยที่อยู่อาศัยทั้งตลาดจากหลายสำนักจะระบุตรงกันว่า ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยลดต่ำลงทุกปี จากเทรนด์ของดีเวลลอปเปอร์ที่ลดเพดาน ปรับกลยุทธ์หันมาเจาะตลาดล่างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิตี้คอนโด จนเกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง แต่ในอีกมุมหนึ่งของตลาดคอนโดมิเนียมในเซกเมนต์ไฮเอนด์ กลับได้เห็นความเคลื่อนไหวของดีเวลลอปเปอร์ที่จะพยายามสร้างมาตรฐานใหม่ ทำลายสถิติตลาดด้วยการเปิดตัวราคาขายต่อ ตร.ม. ที่นับวันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลจากซีบี ริชาร์ด เอลลิสที่ระบุว่า คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ยังเป็นตลาดนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมาก เพราะราคาขายยังต่ำกว่าในต่างประเทศ แต่ยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ซัปพลายเข้าใหม่ยังมีน้อย จึงทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซกเมนต์ Luxury ระดับราคา 1.3-1.8 แสนบาทต่อ ตร.ม. และเซกเมนต์ใหม่ Super Luxury ซึ่งเป็นตลาดบนสุดในระดับราคา 1.8 แสนบาทต่อ ตร.ม. ขึ้นไป ถือเป็น Niche Market ที่มีผู้เล่นน้อยรายมาก แต่มูลค่าโครงการและการลงทุนกินสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งตลาด
สำหรับเซกเมนต์ Super Luxury เรียกได้ว่าเป็นตลาดใหม่สำหรับเมืองไทย ซึ่งบริษัท เอชเคอาร์ไอ กลุ่มทุนจากฮ่องกงเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรกที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ด้วยราคาขายยูนิตแบบเพนท์เฮาส์ 3.44 แสนบาทต่อ ตร.ม. สูงที่สุดในตลาด ณ ขณะนี้ ในขณะที่ยูนิตขนาด 1,200 ตร.ม. ใหญ่ที่สุดของโครงการ และคาดว่าได้ราคาต่อ ตร.ม. ที่แพงที่สุด ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมออกประมูลในต่างประเทศ สำหรับดีเวลลอปเปอร์รายอื่นๆ ก็ให้ความสนใจในเซกเมนต์นี้เช่นกัน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาขายอย่างเป็นทางการ เช่น เซนต์รีจีส คอนโดมิเนียมย่านราชดำริในรูปแบบ Lease Hold ของกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINOR), โครงการ 185 ราชดำริ ของไรมอน แลนด์ (RAIMON)บริเวณสถานทูตกัมพูชาเก่า ย่านราชดำริเช่นกัน รวมทั้งโรงแรมบันยันทรี ถนนสาทร ที่มีแผนจะแบ่งห้องพักครึ่งหนึ่งของโรงแรมมารีโนเวตเพื่อขายเป็นคอนโดมิเนียม
สำหรับผู้เล่นใน 2 เซกเมนต์ดังกล่าวส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นดีเวลลอปเปอร์ข้ามชาติ หรือเป็นดีเวลลอปเปอร์ไทยในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ โนว์ฮาว และฐานลูกค้าในระดับนานาชาติทั้งสิ้น ส่วนเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ดีเวลลอปเปอร์ไทยที่มีจุดยืนชัดเจนในการรุกตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์มาตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากสะสมประสบการณ์และเติบโตในธุรกิจนี้มากว่า 9 ปี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็เห็นโอกาสที่จะขยายตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงจุดยืนที่จะอยู่ในตลาดไฮเอนด์เช่นเดิม โดยมีเงินทุน และพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นตัวหนุน หลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกับจับมือเป็นพันธมิตรกับเอไอจี อาเชียน เรียล เอสเตท พาร์ทเนอร์ II ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับโลกของอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ หรือเอไอจี จากอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “เอ็มเจเอไอ ดีเวลลอปเม้นท์” พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเมเจอร์ฯ ที่จะรุกหนักในตลาดนี้ได้มากขึ้น
จากประสบการณ์ในการทำตลาดไฮเอนด์ ทำให้สุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MJD) พบว่าโครงการในปัจจุบันยังไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้ 100% แม้จะมีโครงการระดับ Super Luxury ในตลาดอยู่แล้ว แต่ก็มีผู้เล่นไม่มากนัก ประมาณ 1% ของตลาดรวม และกระจุกตัวอยู่เฉพาะในย่านลุมพินี สาทรเท่านั้น จึงเป็นช่องว่างของตลาดที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ ได้เลือกที่ดิน 3 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 31 ในการพัฒนาโครงการรอยซ์ ไพรเวท เรสซิเดนท์ส คอนโดมิเนียมในสไตล์รอยัล วิคทอเรียน คอนเทมโพรารี่ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นทำเลที่มีดีมานด์สูงจากชาวไทยและชาวต่างชาติทั้งอยู่อาศัยเองและซื้อเพื่อการลงทุน โดยเป็นคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury โครงการแรกของทำเลสุขุมวิท ตั้งเป้าเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับ AAA+ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด และสภาพแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัย
โครงการดังกล่าวประกอบด้วยอาคารสูง 39 และ 25 ชั้น รวม 165 ยูนิต ขนาด 2-4 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 111.7-462 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม. หรือ 15-92 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นการออกแบบที่สร้างความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยสูงสุด ขณะนี้มียอดขายแล้ว 30% โดยเอไอจียังมีความมั่นใจที่จะลงทุนในไทยเพิ่ม และรอดูโอกาสตลาดในอนาคต
ในปีนี้เมเจอร์ฯ มีแผนจะลงทุนโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม ที่พัทยา เฟส 1 บนที่ดิน 10 ไร่จากทั้งหมด 20 ไร่ และโครงการมาราเกช หัวหิน เรสซิเดนเซส คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 อาคาร ในสไตล์โมร็อคโก รวม 404 ยูนิต บนที่ดิน 16 ไร่ ริมหาดหัวหิน ราคาเริ่มต้น 1.25 แสนบาทต่อ ตร.ม. เพื่อตอบรับกับตลาดท่องเที่ยวของหัวหินที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงแบ่งพื้นที่ 8 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นโรงแรม 80 ห้อง ภายใต้ธุรกิจใหม่ เป็นการสร้างรายได้ระยะยาว ซึ่งบริการต่างๆ ของโรงแรมจะเป็นตัวช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับคอนโดมิเนียมเป็นอย่างดี
|
|
|
|
|