|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยผันผวน หลังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยด้านการเมืองที่ร้อนแรง บวกกับสถานการณ์ต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังทรุดตัว ด้านโบรกเกอร์ หวังแรงหนุนจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะออกมาดี และราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยผลักดันหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน พร้อมลุ้นแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยอาร์พี เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้น ขณะที่สำนักงาน ก.ล.ต. ไฟเขียวเอสโซ่ขายไอพีโอ 773.33 ล้านหุ้น
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ ทั้งความคืบหน้าการพิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ บวกกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะการประกาศการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะไม่ดีนัก อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน ดัชนีภาคการผลิต และดัชนีภาคการบริการ อาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีปัจจัยบวกจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยประกาศออกในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายนนี้ โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชน์น่าจะปรับตัวดี รวมทั้งราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงอาจจะช่วยสนับสนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวอย่างผันผวนตามปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ประการแรก การประกาศตัวเลขดุลการค้าเดือนกุมภาพันธ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากตัวเลขออกมาขาดดุลเหมือนที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นได้
ประการที่ 2. แรงกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นดาวโจนส์ ที่จะถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่จะมีการประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยมีตัวเลขที่สำคัญ คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ดัชนีภาคการผลิตกับดัชนีภาคการบริการของ ISM ยอดสั่งซื้อของโรงงาน และค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขต่างๆ จะออกมาไม่ดีนัก
และประการสุดท้าย ปัจจัยการเมืองในประเทศ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะประชุมเพื่อพิจารณากรณียุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย ว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาหรือไม่ และในวันที่ 3 เมษายนนี้ จะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีซุกหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ว่าอัยการพิเศษจะสั่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งคงทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อดูความชัดเจนก่อน รวมถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ และท่าทีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
"ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะยังคงขึ้นลงผันผวน มีกรอบแนวรับที่ 810-815 จุด กรอบแนวต้านที่ 835-840 จุด แต่จะมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานและแบงก์ ที่คาดว่ากำไรกลุ่มแบงก์จะออกมาดี ขณะที่กลุ่มพลังงานจะได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวสูงอยู่ จึงแนะนำให้ซื้อหุ้น SCB และ KBANK เพื่อรับเงินปันผลได้"
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากยังไม่มีประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงขึ้นลงแรงๆ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามคงเป็นการประชุมของ กกต.ในวันที่ 2 เมษายน เพื่อพิจารณาส่งเรื่องยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคต่อไป แต่คาดว่ายังไม่ได้ข้อสรุปและต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนปัจจัยต่างประเทศจะเป็นประเด็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งที่สำคัญ คือ ตัวเลขการจ้างงานที่คาดว่าจะลดลง และในวันที่ 2 เมษายนนี้ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะแถลงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับสภาคองเกรส โดยต้องรอดูว่าจะมีการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 810-830 จุด โดยครึ่งเดือนแรกของเดือนเมษายนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวบวกได้เล็กน้อย โดยมีปัจจัยบวกมาจากผลประกอบการกลุ่มธนาคาร และดาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ส่วนช่วงครึ่งเดือนหลังตลาดหุ้นไทยคงจะทรงตัวหรือปรับลดลง เพราะขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจน และตลาดอาจได้รับความกดดันจากผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาไม่ดี
นายกมลชัย พลอินทวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวถึง แนวโน้มทางเทคนิคตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังจากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีปิดเหนือแนวต้านสำคัญ 820 จุดได้ แต่ตลอดทั้งสัปดาห์จะเคลื่อนไหวในลักษณะการแกว่งตัวเพื่อรอปัจจัยบวกใหม่ฯ เช่น การประชุมของ กนง. ในวันที่ 9 เมษายน ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ และประเด็นความเสี่ยงทางการเมือง เนื่องจากอาจส่งผลต่อบรรยากาศลงทุน ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำขายทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 833 จุด โดยมีแนวรับที่ 820 จุด และแนวต้านที่ 833 จุด
ก.ล.ต.ไฟเขียวเอสโซ่ขาย773.33ล.หุ้น
รายงานจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า สำนักงานก.ล.ต.ได้มีการอนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของบริษัท เอสโซ่ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 หลังจากที่ยื่นไฟลิ่งมาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ทำให้บริษัทสามารถที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 773.33 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 4.93 บาท โดยการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยภายในไตรมาส 2/51 นี้
|
|
 |
|
|