Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2551








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2551
ความเสี่ยงของโอลิมปิกที่ปักกิ่ง             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 





รัฐบาลจีนใช้เวลาเตรียมการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิกในปีนี้มาอย่างยาวนานนับสิบปี อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2544 (ค.ศ.2001)

ปลายปีที่แล้วผมอ่านหนังสือพิมพ์เจอรายงานในสื่อจีนระบุว่ารัฐบาลจีนลงทุนกับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ไปทั้งสิ้น 35,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่าล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนทางตรง 17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินลงทุนทางอ้อมอีก 18,100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นจำนวน 4 เท่าของโอลิมปิกที่เอเธนส์ กรีซ และถือเป็นการลงทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาโอลิมปิกครั้งใดๆ[1]

แน่นอนว่าด้วยเงินลงทุนมหาศาลขนาดนี้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำต้องคาดหวังผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกมากกว่า รายได้จากการท่องเที่ยว ภาพลักษณ์ของประเทศ หรือเพื่อยกศักดิ์ศรี-ความภาคภูมิใจของคนในชาติจากการได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ โดยจีนนั้นมุ่งหวังว่าการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศ เหมือนๆ กับที่เกาหลีใต้เคยทำได้หลังการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนเมื่อปี 2531 (ค.ศ.1988)

อย่างไรก็ตาม การวางแผนอันยาว นานนับสิบปีของจีนนั้นเดินทางมาถึงจุดสุ่มเสี่ยงครั้งใหญ่เมื่อเกิดเหตุการณ์การนองเลือดที่กรุงลาซา เมืองเอกของทิเบตขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยสถานการณ์ล่าสุดขณะที่ผมกำลังปิดต้นฉบับอยู่นั้น สื่อรัฐบาลจีนระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย ขณะที่รัฐบาลทิเบตพลัดถิ่นในอินเดียระบุจำนวนผู้เสียชีวิตสูงกว่าที่รัฐบาลจีนระบุถึง 8 เท่า หรือเท่ากับ 80 ราย

การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ และพลเรือนนั้นมีสาเหตุ อันเนื่องมาจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องเอกราชของทิเบต ในวาระครบรอบ 49 ปีของการลี้ภัยออกจากทิเบตของทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตใจของชาวทิเบตรวมทั้งเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพปี 2532 (ค.ศ.1989) หนึ่งในศัตรูเบอร์ต้นๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ จีน โดยการชุมนุมเรียกร้องเอกราชนี้มีการขยายวงไปทั่วโลก ทั้งยังมาพร้อมคำขู่ของชาวทิเบตที่ลี้ภัยอยู่ ณ ธรรมศาลา ประเทศอินเดียว่าจะเคลื่อนทัพเพื่อเหยียบทิเบตในช่วงมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย

ความรุนแรงในทิเบตที่เกิดขึ้นก่อนกีฬาโอลิมปิกจะเริ่มขึ้นไม่ถึง 5 เดือนดีนั้น เปรียบได้กับประกายไฟที่ปะทุขึ้นบนพื้นที่นองด้วยน้ำมัน เนื่องด้วยแต่เดิมทีรัฐบาลจีนก็ถูกนานาชาติโจมตีอย่างหนักอยู่แล้วในหลายๆ ประเด็นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัญหาสิ่งแวดล้อม การวางตัวเฉยกับปัญหาภายในของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น พม่า หรือ เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟูร์ในแอฟริกาที่รัฐบาลจีนถือเป็นผู้ขายอาวุธและยุทโธปกรณ์รายใหญ่ให้แก่รัฐบาลซูดาน

สำหรับท่าทีนิ่งเฉยของรัฐบาลปักกิ่งต่อเหตุการณ์ที่ดาร์ฟูร์นั้นถึงกับทำให้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สตีเฟน สปิลเบิร์ก ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังของสหรัฐฯ ขอยกเลิก การเป็นที่ปรึกษาฝ่ายศิลป์พิธีเปิดและปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง โดยให้สาเหตุว่าเนื่องจากรัฐบาลจีนไม่พยายามยุติปัญหาความขัดแย้งในดาร์ฟูร์[2]

แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนและชาวจีนมีการคาดการณ์มาตลอดว่าก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะเริ่มขึ้นอาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่ทิเบต เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่เป็นปัญหากวนใจรัฐบาลจีนนั้นมีมากมายหลายเรื่องที่ดูจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้มากกว่าปัญหาทิเบต ตั้งแต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุดอย่างเช่น ความพยายามที่จะแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวันที่นำโดยประธานาธิบดีเฉิน สุยเปี่ยน ประเด็นการก่อการร้ายที่เขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์-ซินเจียง โดยกบฏแบ่งแยกดินแดนชาวมุสลิมในนามขบวนการแห่งอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก หรือ ETIM (East Turkestan Islamic Movement) รวมไปถึงสถานการณ์ในอิหร่านและเกาหลี เหนือด้วย

กรณีความขัดแย้งเกี่ยวกับไต้หวันนั้น เดิมทีถึงกับมีการข่มขู่ว่าอาจก่อให้เกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้นระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน ซึ่งจะลามกินพื้นที่ทั่วชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีน เนื่องจากทางไต้หวันก็ตอบโต้คำข่มขู่ของจีนเช่นกัน โดยระบุว่าถ้าหากจีนใช้กำลังทหารกดดันไต้หวันอย่างรุนแรง หรือยกพลขึ้นยึดเกาะ ฝ่ายไต้หวันก็อาจจะใช้วิธีการยิงขีปนาวุธตรงไปยังศูนย์กลางทางการทหารและการเมืองอย่างกรุงปักกิ่งเพื่อตอบโต้เช่นกัน และนั่นก็หมายความว่ามหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่งคงจะต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

ซึ่งในประเด็นนี้เมื่อหลายปีก่อนในหมู่ประชาชนชาวจีนเคยมีการสำรวจความเห็นไว้เช่นกันว่า หากเกิดความขัดแย้งใหญ่ระหว่างจีนกับไต้หวันขึ้นจริงประชาชนบนผืนแผ่นดินใหญ่จะยอมให้กีฬาโอลิมปิกยกเลิกหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ของจีนให้ความสำคัญกับเรื่องไต้หวันมากกว่ากีฬาโอลิมปิก

กระทั่งล่าสุดปัญหาเรื่องสงครามระหว่างจีนกับไต้หวันนั้นแทบจะเลิกพูดถึงกันไปแล้ว เนื่องจากในช่วงหลังมานี้ นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 ที่ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง เหลียน จั้น บุกไปจับมือผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน หู จิ่นเทา ถึงมหาศาลาประชาชนกลางกรุงปักกิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันก็ดีขึ้นเป็นลำดับ และชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเลือกตั้งใหญ่ของพรรคก๊กมินตั๋งในปีนี้ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า สงครามใหญ่ระหว่างจีนกับไต้หวันคงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ อย่างน้อยๆ ก็ในปีนี้ รวมไปถึงอีกหลายปีข้างหน้าด้วย

กระนั้นเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่าเชื้อไฟแห่งความรุนแรงปะทุขึ้นมาก่อนนั้นกลับไม่ใช่สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่อยู่คนละซีกของช่องแคบไต้หวัน แต่กลับกลายเป็นเชื้อไฟที่ปะทุขึ้นในประเทศจีนเองบนดินแดนหลังคาโลก และเริ่มขยายวงลุกลามออกไปกว้างขึ้นทุกทีๆ

โดยหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ทิเบต คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี ได้ออกมาเปิดเผยว่า มีนักกีฬาชั้นนำหลายคนอาจตัดสินใจไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม เนื่องจากหวั่นเกรงความไม่ปลอดภัยและต้องการประท้วงรัฐบาลจีนในฐานะเจ้าภาพ[3] ขณะที่ก็มีคณะกรรมการโอลิมปิกสากลของบางประเทศที่ออกมาปฏิเสธความเชื่อมโยงกันของความรุนแรงในทิเบตกับกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง อย่างเช่น นายจอห์น โคตส์ ประธานกรรมการโอลิมปิกออสเตรเลียออกมาระบุว่าออสเตรเลียจะไม่บอยคอตต์โอลิมปิกที่ปักกิ่ง และจะส่งทัพนักกีฬา 500 คนเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน[4]

ในความเป็นจริงแล้วการแสดงทัศนะและท่าทีของรัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะรัฐบาลของโลกตะวันตกต่อกรณีความรุนแรงในทิเบต ณ ชั่วโมงนี้นั้นก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่จีนได้เติบโตกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้หากจะย้อนกลับไปพลิกหน้าประวัติศาสตร์ดู ประเทศมหาอำนาจ ของโลกทั้งหลายต่างก็เคยมีปัญหาและชนักติดหลังอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งต่างก็เคยกระทำในลักษณะเดียวกับที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกระทำกับทิเบตแถมยังอาจจะรุนแรงกว่าเสียด้วยซ้ำ

สำหรับปัญหาจีนและทิเบตเอง เวลานี้ดูเหมือนว่าประเด็นปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่องค์ทะไล ลามะ ที่พระองค์ยึดแนวทางสันติวิธีในการประกาศเอกราช แต่อยู่ที่กลุ่มเรียกร้องเอกราชของทิเบตสายเหยี่ยวที่นิยมวิธีตาต่อตาฟันต่อฟันกับรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งนี้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า เพื่อชะลอไม่ให้เหตุรุนแรงลุกลามไปมากกว่านี้ รัฐบาลจีนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งการเปิดเจรจากับองค์ทะไล ลามะ เพื่อยุติเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นตามมา หรืออย่างน้อยๆ ก็ให้เหตุการณ์สงบลงชั่วคราวเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงมหกรรมโอลิมปิก ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ไปเสียก่อน

อ่านเพิ่มเติม
[1] 18 ตุลาคม 2550
[2] ผู้จัดการออนไลน์, "สปีลเบิร์ก" บายพิธีเปิด-ปิดโอลิมปิก เหตุขอจีนช่วยยุติวิกฤติดาร์ฟูไม่สำเร็จ, 13 กุมภาพันธ์ 2551
[3] ผู้จัดการออนไลน์, "ไอโอซี" แย้มนักกีฬาดังส่อบอยคอตต์ "ปักกิ่งเกมส์", 17 มีนาคม 2551
[4] AFP, Australia won't support boycott of Beijing Games : Olympic chief, 17 มีนาคม 2551   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us