|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กบข.เตรียมจ้างผู้จัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศ บริหารเงินเพิ่มอีก 3.5 หมื่นล้านบาท เน้นการลงทุนแบบกระจายทั้งหุ้นไทย-เมืองนอก พร้อมเพิ่มน้ำหนัก REATs-Private Equity ต่างแดน ประเมินการลงทุนทั่วโลกอีก 1-2 เดือนเห็นการเปลี่ยนแปลงอีกเยอะ และยังผันผวนต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน เหตุพิษซับไพรม์ยังไม่จบ เผยกลยุทธ์กบข.ไม่บุ่มบาม จับจังหวะตลาดนิ่งก่อนลงทุน 'วิสิฐ' ฝันอยากเห็นข้าราชการทั้งประเทศมีเงินออม เสนอคลังแก้กฎหมายเพิ่มการออมเข้าสู่ระดับท้องถิ่น
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.อยู่ระหว่างพิจารณาคัดเลือกผู้จัดการกองทุนในประเทศและต่างประเทศเพื่อบริหารเงินกองทุนของกบข.เพิ่ม โดยในส่วนของผู้จัดการกองทุนในประเทศนั้น อาจจะพิจารณาจากผู้จัดการกองทุนที่บริหารเงินของกบข.อยู่แล้ว ซึ่งการคัดเลือกดังกล่าวจะดูจากผลงานของผู้จัดการกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจจะคัดเลือกผู้จัดการกองทุนรายใหม่ โดยวงเงินที่ กบข.จะจัดสรรให้ผู้จัดการกองทุนบริหารเพิ่มนั้น มีมูลค่าประมาณ 1-1.5 หมื่นล้านบาท จากจำนวนเงินเดิมที่บริหารอยู่แล้วประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จากผู้จัดการกองทุน 7 ราย
ส่วนผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศ อยู่ระหว่างคัดเลือกเพิ่มเติมเช่นกัน โดยในส่วนนี้จะเป็นการเพิ่มผู้จัดการกองทุนเพื่อเข้ามาบริหารเงินลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REATs) และการลงทุนทางเลือก (Private Equity) ในต่างประเทศ ซึ่งวงเงินสำหรับผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศนั้น มีจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากเงินลงทุนที่ให้บริหารอยู่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท หรือ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ จากผู้จัดการกองทุนทั้งหมด 13 ราย
ทั้งนี้ บลจ.ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการกองทุนอยู่แล้วมีจำนวน 7 ราย โดยเป็นผู้จัดการกองทุนตราสารทุนมี 5 ราย ได้แก่ บลจ.กสิกรไทย บลจ.วรรณ บลจ.ทิสโก้ บลจ.อเบอร์ดีน และบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ส่วน บลจ.ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ 6 ราย ได้แก่ บลจ. ทิสโก้ บลจ.วรรณ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) บลจ.เอ็มเอฟซี และ บลจ.กสิกรไทย
นายวิสิฐ กล่าวถึง ภาพรวมการลงทุนทั่วโลก ว่า ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอีกค่อนข้างเยอะ และน่าจะยังคงผันผวนต่อไปอีก 3-6 เดือนข้างหน้า เพราะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐฯ ยังไม่จบ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงิน โดยการลงทุนของกบข.เอง จะเป็นลักษณะ wait and see เพราะตลาดยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อยู่ แต่คงยังไม่ถึงขั้นล้ม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปลายปีนี้ทุกอย่างน่าจะเริ่มคลี่คลาย ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น เราจะเริ่มเห็นเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนทั่วโลกที่ยังผันผวนอยู่ในตอนนี้ เชื่อว่านักลงทุนสถาบันรอหมด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรอได้นานกว่าใครแค่ไหน ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศของกบข.เองก็ไม่ได้เร่งแต่อย่างใด
"เรามองว่าตลาดเงินของโลกผันผวนเยอะ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลถึงเอเชียด้วย ถึงแม้ความสัมพันธ์ในแง่ของเศรษฐกิจอาจจะไม่มีผลกระทบ แต่ในแง่ของตลาดเงินและตลาดทุนมันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเงินหมุนเวียนทั่วโลกอยู่ตลาดเวลา ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เงินเหล่านั้นหันไปลงทุนในสิทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงมากขึ้น และส่วนหนึ่งอาจจะเก็บเงินสดไว้รอจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้"
นายวิสิฐ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในต่างประเทศของกบข.ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ทั้งหมด เพราะการลงทุนในตราสารหนี้เองให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ประมาณ 5-6% เท่านั้น ส่วนการลงทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเองเราก็ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ทั้งหมดเช่นกัน โดยตราบใดที่เราเห็นว่า 3-6 เดือนข้างหน้ายังเป็นไปในทิศทางเดียวอยู่เราก็ต้องรีบจัดการ ซึ่งการเฮจด์ค่าเงินนั้น เป็นกลยุทธ์ในการจัดการค่าเงินของเราให้ดีที่สุด ไม่ใช่การเฮจด์เพื่อเก็งกำไร
ทั้งนี้ ในการลงทุนในต่างประเทศนั้น กบข.ยังสนใจมองหาการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งกองทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงกว่าในประเทศ และมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเทศกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศก็ยังสนใจอยู่ ขณะเดียวกัน ยังสนใจการลงทุนใน Private Equity เพิ่มเติมด้วย
เลขาธิการกบข.กล่าวว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงไปอีก 0.75% ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างเฟดและอาร์/พี เพิ่มขึ้นเป็น 1% ซึ่งส่งผลให้การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะใกล้เห็นคำตอบที่ชัดเจนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (อาร์/พี) ลงได้ เพราะหากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนต้องทำให้ธปท.ต้องเข้าไปแทรกแซง เชื่อว่าธปท.คงเลือกลดอัตราดอกเบี้ยลงบ้าง เพราะเงินในกระเป๋าของธปท.เอง ก็มีจำนวนจำกัด คงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ทั้งหมด
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของกบข. ตอนนี้ เขากล่าวว่า เป็นจังหวะที่เราเข้าไปซื้อหุ้นที่เราอยากลงทุนเข้ามาเก็บไว้ ซึ่งกบข.เองมีการกันเงินสดไว้ประมาณ 5% อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดยังผันผวนอยู่ในช่วงนี้ นักลงทุนอย่าเพิ่งไปตกใจ แต่ให้ศึกษาองค์ประกอบและข้อมูลของหุ้นที่ถืออยู่นั้นก่อนว่า มีการจ่ายปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีหรือไม่ ถ้ายังสามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงอยู่ก็น่าจะลงทุนต่อไปได้ ทั้งนี้ มองว่าหุ้นไทยในปีนี้ น่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดีกว่าปีที่แล้ว
"ตลาดหุ้นไทย ยังเป็นตลาดที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่ค่อนข้างสูง 5-6% บางบริษัทยังสูงถึง 10% ขณะเดียวกันกำไรของบางบริษัทเองก็ปรับเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน" นายวิสิฐกล่าว
กบข.ก้าวสู่ปีที่ 12
นายวิสิฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ จะเป็นวันที่ กบข. ครบรอบการดำเนินงานมาเป็นเวลา 11 ปี ซึ่ง ณ วันนี้ สามารถบอกได้ว่า กบข.ได้ก้าวสู่การเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญระดับสากล (World Pension Fund) แล้ว และหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียแล้ว ถือว่า กบข.เป็นกองทุนที่แอดวานซ์มากที่สุด ทั้งในแง่ของการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Alocation) และกลยุทธ์การลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นอิสระและความเป็นมืออาชีพอีกด้วย โดยปัจจุบัน กบข.มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งหมดประมาณ 3.8 แสนล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในปีนีเองอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย แต่เชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่ากับปีที่แล้ว
โดยเป้าหมายของกบข.หลักจากนี้ จะเน้นการออมที่เข้าถึงระดับท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเอง เราก็ได้ชี้ให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ได้เห็นปัญหาแล้วว่าภาคการออมทั้งระบบยังขาดในส่วนไหนบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการออมให้เข้าถึงข้าราชการระดับท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึง เพราะเป้าหมายของกบข.อยากเห็นข้อราชการทั้งประเทศมีกองทุนบำเหน็จบำนาญ
"เป้าหมายอีกอย่างของเราคือ อยากเห็นสมาชิกเข้าถึงเรามากขึ้น และอยากเห็นสมาชิกให้ความสนใจกับเงินของเขาที่มีอยู่ให้มากขึ้นด้วย"นายวิสิฐกล่าว
|
|
|
|
|