|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ปตท.เคมิคอลสยายปีกลงทุนต่างประเทศ เน้นทำ M&A อาศัยจุดแข็งของพันธมิตร คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ส่วนโครงการเม็ดพลาสติกที่อิหร่าน ยันผลิตได้แน่ไตรมาส 2 /2552 หลังพาร์ทเนอร์แก้ปัญหาด้านวัตถุดิบได้แล้ว ฟุ้งปี 2553รายได้ทะยาน 1.2 แสนล้านบาท หลังโครงการใหม่แล้วเสร็จ ทำให้มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรวม 1.5 ล้านตัน/ปี
นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) เปิดเผยความคืบหน้าการลงทุนในต่างประเทศว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าควบรวมกิจการ (M&A) คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ซึ่งรายละเอียดของโครงการยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยพันธมิตรจะมีจุดแข็งในกิจการและมีเครือข่าย ซึ่งสร้างผลตอบแทนต่อบริษัทฯได้
"การทำธุรกิจนับจากนี้จะเป็นแบบGobalization ลงทุนตรงไหนที่ให้ผลประโยชน์สูงสุด โดยไม่ต้องยึดประเทศ หรือภูมิภาค ตรงไหนดี ทำให้บริษัทมีต้นทุนต่ำสุด ก็เลือกทำตรงนั้นพร้อมกับมองตลาดด้วย"
ส่วนโครงการผลิตเม็ดพลาสติกHDPEในอิหร่าน คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ย.นี้ และเริ่มผลิตเม็ดพลาสติกเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 2 ปี 2552 หลังจากเลื่อนโครงการมาหลายปี เนื่องจากประสบปัญหาด้านวัตถุดิบ โดยล่าสุด พันธมิตรร่วมทุนอิหร่านสามารถจัดหาวัตถุดิบป้อนโครงการได้ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 360 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการผลิตเม็ดพลาสติกที่อิหร่าน มีกำลังการผลิต 3 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 231 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปตท.เคมิคอลถือหุ้นอยู่ 10% คิดเป็นเงินลงทุน 290 ล้านบาท โดยปริมาณเม็ดพลาสติกที่ผลิตได้ บริษัทฯจะรับไปดำเนินการส่งออกจำนวน 3 หมื่นตันตามสัดส่วนการถือหุ้น
นายอดิเทพ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ในตลาดโลกยังดีอยู่ มีราคาเฉลี่ยตันละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ขณะที่เอทิลีนปรับตัวลดลงจากปริมาณการผลิตจากตะวันออกกลางที่เข้ามา ส่วน MEG ราคาอ่อนตัวลงจากช่วงไตรมาส 4ปีที่แล้วที่ 1500 เหรียญสหรัฐ/ตัน เหลือเพียวง 1,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากโรงงานในตะวันออกกลางเดินเครื่องได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกHDPE กับแนฟธา (สเปรด)อยู่ที่ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าทั้งปีสเปรดจะอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐ/ตันเท่ากับปีที่แล้ว โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้รวม 8 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 7.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากบริษัทย่อย คือ บริษัทไทยโอลีโอเคมี จำกัด
ส่วนปัญหาซับไพร์มนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกขายเม็ดพลสติกในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากลูกค้ายังมีอออร์เดอร์อยู่ ในปี 2553 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตอย่างมากประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เนื่องจากโครงการลงทุนต่างๆแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการผลิตHDPE จำนวน 5 แสนตัน โครงการ LLDPE และLDPE 7 แสนตัน
นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันเม็ดพลาสติกLLDPE และLDPE ผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ดังนั้น บริษัทฯจึงได้ลงทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาทในการเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE รวมทั้งสร้างโรงงานเม็ดพลาสติก LLDPE และLDPE ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรวมทั้งสิ้น 1.5 ล้านตันในปี 2553 ซึ่งการบริหารจัดการภายใต้แบรนด์ InnoPlus จะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจไปกับบริษัทได้ ซึ่งจะช่วยสร้างศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมพลาสติกไทยให้แข่งขันในตลาดสากลได้
ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมเดินทางไปโรดโชว์นักลงทุนสถาบันที่ญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ในช่วงเดือนพ.ค.นี้ ด้วย
|
|
|
|
|