Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 มีนาคม 2551
"JAIC"รุกลงทุนธุรกิจไทย             
 


   
search resources

Investment




เจแปนเอเชียอินเวสเม้นท์ เล็งลงทุนบริษัทปีนี้ 8 บริษัท มูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เน้นธุรกิจพลังงาน อาหาร ยานยนต์ หวังหนุนธุรกิจโต ดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังเข้าลงทุนแล้ว 70 บริษัท มูลค่า 7 พันล้านบาท ล่าสุดร่วมลงทุน บอทานิค เข้าจดทะเบียนพ.ย.นี้

เจแปนเอเชียอินเวสเม้นท์ เล็งลงทุนบริษัทปีนี้ 8 บริษัท มูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เน้นธุรกิจพลังงาน อาหาร ยานยนต์ หวังหนุนธุรกิจโต ดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังเข้าลงทุนแล้ว 70 บริษัท มูลค่า 7 พันล้านบาท ล่าสุดร่วมลงทุน บอทานิค เข้าจดทะเบียนพ.ย.นี้ ระดมทุน 150-200 ล้านบาท

นายโตโยจิ ทาซึโอกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจแปนเอเชียอินเวสเม้นท์ กรุ๊ป (JAIC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (แวนเจอร์แคปปิตอล) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเข้าร่วมลงทุนบริษัทในประเทศไทยจำนวน 8 บริษัท มูลค่าเงินลงทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนทางด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจให้มีการเติบโตของบริษัท

สำหรับนโยบายการลงทุนนั้น บริษัทเน้นลงทุนระยะยาวประมาณ 3-5 ปี โดยจะทยอยขายเงินลงทุนออกมาหลังบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนไว้อย่างต่ำ 20% ขณะที่ธุรกิจที่บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนคือ ธุรกิจพลังงาน อาหาร ยานยนต์ เป็นต้น

ปัจจุบัน JAIC ได้ลงทุนในบริษัท บอทานิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกดอกไม้แห้งอบน้ำหอมของไทย เป็นบริษัทแรก โดยเข้าถือหุ้นจำนวน 8 แสนหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท มูลค่าเงินลงทุน 20.4 ล้านบาท ถือหุ้นในสัดส่วน 5% โดยบอทานิค มีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้

สำหรับ JAIC มีมูลค่าลงทุนรวมทั่วโลกมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลงทุนในบริษัทจำนวน 780 บริษัท และได้มีการจัดตั้งบริษัท เจเอไอซี (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจร่วมลงทุนในประเทศไทยมาเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งได้มีการลงทุนไปแล้วจำนวน 70 บริษัท มูลค่าเงินลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนทั้ง 70 แห่งนั้น บริษัทสามารถผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอไปแล้ว 12 บริษัท

"ผลตอบแทนการลงทุนของบริษัทอย่างน้อย 20% บางบริษัทได้ผลตอบแทนถึง 100% แต่บางบริษัทก็ขาดทุน โดยการที่บริษัทไม่มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ฯนั้น จากแนวโน้มปีนี้มีการเติบโตดี เพราะ ในอดีตนั้นบริษัทเคยลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย แต่ได้รับผลขาดทุนในช่วงที่เกิดวิกฤตบริษัทจึงเข็ดจึงไม่อยากที่จะเข้าไปลงทุน" นายทาซึโอกะ กล่าว

นายพูลพัฒน์ โลหะชิตรานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บอทานิค ผู้ผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ดอกไม้แห้งอบหอม กล่าวว่า บริษัทจะมีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต. )ในเดือนมิ.ย.นี้เพื่อเสนอขายหุ้นไอพีโอ ประมาณ 20-40 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน 63 ล้านหุ้น โดยแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บีฟิท เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มไอได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับเม็ดเงินระดมทุนจำนวน 150-200 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับขยายสาขาภายในประเทศ จากปัจจุบันที่บริษัทมีสาขาในการจำหน่ายสินค้าของบริษัท เพราะ บริษัทมีการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกทั้งหมด แบ่งเป็น ตลาดยุโรป 42% ตลาดอเมริกา 38% ตลาดเอเชีย 14% และตลาดตะวันออกลาง 6%

บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 4-4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2550 ที่มีรายได้จำนวน 120 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้อน 45-50% มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิของบริษัทต่ำ เพราะ บริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 10%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us