|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศึกรอบใหม่คลัง-แบงก์ชาติระอุ "หมอเลี้ยบ"ระบุลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นหน้าที่กนง. ขณะที่บิ๊ก สศค.แนะให้ลดดอกเบี้ยหลังเฟดหั่นดอกเบี้ยรอบใหม่ 0.75% ป้องกันแรงกดดันเงินทุนไหลเข้า ขณะที่แบงก์ชาติเมิน ลั่นให้ความสำคัญเงินเฟ้อและปัจจัยภายในประเทศ นายแบงก์แนะ ธปท.อย่าแทรกแซงค่าเงินมากเกิน ด้านตลาดหุ้นต่างประเทศคึกคัก หลังเฟดลดดอกเบี้ย 3 สลึง
กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 3.00% เหลือ 2.25% ทำให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยถึง 1% นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเข้าไปดูแล ควบคู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งมั่นใจว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและสามารถตัดสินใจได้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแน่
ขณะที่ นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทย เป็นแรงดึงดูดให้กระแสเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก และกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก ดังนั้น การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯในครั้งนี้ จะสร้างแรงกดดันให้ธปท. รับมืออย่างหนักจากกระแสเงินทุนไหลเข้า
ดังนั้น หลังจาก ธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ไปแล้ว ก็น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวถือเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการ (กนง.) ในการตัดสินใจว่าจะมีการปรับลดลงหรือไม่
"หลังจากยกเลิกมาตรการ 30% แล้ว ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาการดูแลค่าเงินบาทถือว่ามีเสถียรภาพอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีการแข็งค่าขึ้นบ้างแต่ก็ยังเป็นการแข็งค่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้าน"
ผอ.สศค.มองว่า เฟดลดดอกเบี้ยเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่เกิดจากปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% อย่างไรก็ตาม คงจะต้องรอดูกันต่อไปว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะสามารถแก้ปัญหาให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่สามารถแก้ไขได้ก็ เชื่อว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง
นางพรรณีเปิดเผยด้วยว่า สศค. ปรับประมาณการจีดีพีปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 4.5-5.5% หรือเฉลี่ยที่ประมาณ 5% ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยลบในเรื่องราคาน้ำมันที่คาดว่าจะเกินสมมติฐานที่คาดไว้ที่ 80-85 เหรียญ/บาร์เรล ก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยบวกทั้งเรื่องของการลงทุนเพิ่มขึ้น การเริ่มโครงการเมกะโปรเจกต์ การจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ ก็ส่งผลให้ภาคเอกชนพร้อมที่จะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ จะมีการแถลงการปรับประมาณการจีดีพีในปี 2551 อย่างเป็นทางการ ในสิ้นเดือนมี.ค.นี้
"เรื่องราคาน้ำมันคงจะต้องรอดูทั้งปี ถึงแม้ว่าตอนนี้จะสูงเกิน 100 เหรียญ/บาร์เรลก็ตาม แต่หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 เหรียญจะมีผลกระทบต่อจีดีพีประมาณ 0.3%" นางพรรณี กล่าว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์เกรงว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาไทยมากและทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ารวดเร็ว ซึ่งจากการติดตามข้อมูลของสมาคมธนาคารไทยพบว่า ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ธปท.มีการแทรกแซงค่าเงินมากพอสมควร ทำให้บาทไม่ได้แกว่งตัวมากนัก
“คิดว่าดอกเบี้ยของไทยในระดับ 3.25% กนง.เองก็ควรจะพิจารณาด้วยเพราะสูงกว่ามากอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็งกำไรได้ แต่ก็เข้าใจว่า กนง.อาจเป็นห่วงเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็คงจะต้องดูความเหมาะสมในหลายปัจจัยด้วยซึ่ง กนง.น่าจะทราบดีว่าควรลดระดับใดเพื่อความเหมาะสม”
ธปท.ย้ำให้น้ำหนักปัจจัยภายใน
นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. ยืนยันว่า นโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทยจะไปในทิศทางใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับการประชุม กนง.ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ แต่ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศ ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพราะต้องพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
คาดบาท 30.20-ธปท.อย่าแทรกแซง
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า ภายในสิ้นปีนี้น่าจะเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าไปถึงระดับ 30.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าทิศทางเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ยิ่งอ่อนค่าลงไปอีก คาดว่าปีนี้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง
"ธปท.ควรลดการดูดซับสภาพคล่องเงินดอลลาร์ในระบบ เนื่องจากจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยน้อยลง โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเงินสำรองต่างประเทศอยู่ในระดับสูงแล้วจึงไม่จำเป็นต้องดูดซับเงินดอลลาร์เข้าไปอีก และการส่งออกของไทยยังเกินดุลจึงไม่มีปัญหาน่าเป็นห่วง"นายกอบสิทธิ์ กล่าว
ส่วนค่าเงินบาทวานนี้ ทรงตัว โดยปิดตลาดที่ระดับ 31.18-31.19 บาทต่อดอลลาร์ นักบริหารเงินคาดว่าวันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.20 บาทต่อดอลลาร์
เฟดลดดอกเบี้ย 3 สลึงทำตลาดหุ้นขึ้นคึกคัก
สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า เฟดมีมติในการประชุมเมื่อวันอังคาร(18) ตัดลดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟดฟันด์เรต ลงมารวดเดียว 0.75% นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในความพยายามชนิดทุ่มเทสุดกำลัง เพื่อต่อสู้กับปัญหาวิกฤตสินเชื่อที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ทางด้านตลาดการเงิน ก็ตอบสนองมาตรการคราวนี้ในทางบวก แต่ถึงกระนั้น การตัดสินใจลดดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรต ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) คราวนี้ ยังน้อยกว่าที่ตลาดการเงินคาดหมายว่า น่าจะหั่นลงมา 1% เต็ม
ขณะเดียวกัน ในคำแถลงที่ออกมาภายหลังการประชุมเฟด ก็เน้นน้ำหนักเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเอาไว้ค่อนข้างมาก กระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่า เฟดยังเปิดประตูกว้างที่จะลดดอกเบี้ยลงมาอีกอยู่ดี ถ้าหากมีความจำเป็น
โดยนักวิเคราะห์อย่าง เค. แดเนียล ลิบบี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสแห่ง แซนด์ส บราเธอร์ส ซีเล็ค แอคเซส ฟันด์ ในเมืองกรีนิช มลรัฐคอนเนตทิคัต ให้ความเห็นว่า "เฟดแสดงให้เห็นว่า พวกเขากำลังโฟกัสการนำเอาเศรษฐกิจกลับมายืนให้มั่นคงให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกสุด จากนั้นพวกเขาจึงจะมากังวลกับเรื่องเงินเฟ้อที หลัง"
ดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรต เป็นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยที่เฟดต้องการให้พวกธนาคารพาณิชย์คิด ในการปล่อยกู้ระหว่างกันเองในชั่วเวลาข้ามคืน เมื่อลดลงมาอีก 0.75% เช่นนี้ ก็จะเหลืออยู่ที่ 2.25%
นอกจากนั้น เอฟโอเอ็มซียังมีมติในคราวเดียวกันนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยดิสเคาน์เรต ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เฟดคิดกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่มาขอกู้กับตนในชั่วเวลาข้ามคืน ตามมาลง 0.75% เช่นกัน ทำให้เวลานี้ดิสเคาน์เรตอยู่ที่ 2.50%
จากมติลดเฟดฟันเรต 0.75% คราวนี้ บวกกับข่าวดีจากการรายงานผลประกอบการของวาณิชธนกิจยักษ์ 2 แห่ง คือ โกลด์แมนแซคส์ และ เลห์แมนบราเธอร์ส ส่งผลให้ตลาดวอลล์สตรีทพุ่งทะยานในวันอังคาร จนตอนปิดตลาด ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ บวก 420.41 จุด หรือ 3.51%ปัจจัยการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังส่งอานิสงส์ทำให้ตลาดแถบเอเชียวานนี้ (19)ปิดในแดนบวกกันเป็นแถวด้วย โดยที่โตเกียวบวก 2.48%, ฮ่องกง 2.26%, เซี่ยงไฮ้ 2.53%, มุมไบ 1.09%
เมื่อถึงช่วงการซื้อขายของทางยุโรป ตลาดกลับตกวูบลงมาช่วงบ่าย โดยทั้งลอนดอน, แฟรงเฟิร์ต, และปารีส ต่างติดลบเกือบๆ 1% เนื่องจากข่าวลือที่ต่อมาถูกปฏิเสธว่า ธนาคาร เอชบีโอเอส ในอังกฤษประสบปัญหาสภาพคล่อง
สำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ข่าวเฟดลดดอกเบี้ยส่งผลให้ดอลลาร์แข็งขึ้น โดยเมื่อเทียบกับเงินยูโรแล้ว 1 ยูโรแลกได้ 1.5626 ดอลลาร์ ตอนคืนวันอังคารที่นิวยอร์ก จากที่อยู่ ณ 1.5725 ในคืนก่อนหน้า ส่วนเทียบเงินเยน 1 ดอลลาร์ก็แลกได้ 99.72 เยนในคืนวันอังคาร จากที่ได้เพียง 97.32 เยนในคืนวันจันทร์
ส่วนราคาน้ำมัน พวกเก็งกำไรซึ่งอยู่เต็มตลาดได้ถือเอาข่าวเฟดลดดอกเบี้ยเป็นข่าวดีที่จะดันราคาขึ้น สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบไลต์สวีตครูด ปิดตลาดไนเม็กซ์ในวันอังคารที่ 109.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากวันก่อน 3.74 ดอลลาร์
|
|
|
|
|