11 ปีที่แล้ว ก่อนการเสียชีวิตของ พี่ใหญ่-สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เซ็นทรัลกรุ๊ป
ได้มีการจัดกระบวนทัพโดยมีการแบ่งกลุ่มความรับผิดชอบทางธุรกิจในกลุ่มจิราธิวัฒน์รุ่นที่
2 ไว้อย่างชัดเจน แต่จากความผันแปรทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
อาจมีความจำเป็นที่พี่น้องในตระกูลนี้ จะต้องหันกลับมาทบทวนกันใหม่อีกครั้ง
วันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา ผู้บริหารตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป
ของธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ป กว่า 40 ชีวิต ได้ไปร่วมสัมมนากันที่โรงแรมเซ็นทรัล
วงศ์อำมาตย์ พัทยา
การสัมมนาครั้งนี้ใช้เวลา 3 วัน ได้มีการระดมสมองของระดับบริหาร เพื่อกำหนดภารกิจ
วิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ของกลุ่มค้าปลีก ในเครือเซ็นทรัลในอีก 5-7 ปีข้างหน้า
โดยมีสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น
(CRC) ในฐานะประธานกลุ่มค้าปลีก เป็นผู้นำการสัมมนา
บทสรุปจากการสัมมนาครั้งนี้ ระดับบริหารของ CRC จะนำมาร่างเป็นแผนปฏิบัติการ
สำหรับการรุกในธุรกิจค้าปลีกในอนาคต ว่าจะ มีทิศทาง ที่ชัดเจนอย่างไร
"การร่างแผนจะเสร็จภายใน 1 เดือนหลังการสัมมนาเราจะประกาศแผนปฏิบัติการครั้งนี้ในที่ประชุม
MIM (Management Information Meeting) ได้ก่อนปีใหม่" สุทธิชาติกล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
ย้อนกลับไปเมื่อครั้ง ที่สุทธิชาติเข้ามารับผิดชอบในฐานะประธานกลุ่มค้าปลีก
เซ็นทรัลกรุ๊ปใหม่ๆ เมื่อกลางปี 2532 เขาต้องการให้ธุรกิจในกลุ่มนี้ มีการทบทวนตัวเอง
และกำหนดกรอบทิศทางเดินให้เด่นชัดในทุกช่วง 5-7 ปี ดังนั้น จึงกำหนดให้ผู้บริหารทุกฝ่ายมีการทำแผนระยะยาว
5 ปีออกมา
การทบทวนตัวเองครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อคราว ที่เขาได้ประกาศ
Segmen- tation ของกลุ่มค้าปลีก ในปี 2536 ซึ่งหลังจากนั้น ธุรกิจค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล
ได้แตก Segment ใหม่ๆ ออกมา สร้างสีสันให้กับวง การค้าปลีกบ้านเราเป็นอย่างมาก
"แผนที่เราจะประกาศใน MIM รอบนี้ เราเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมงาน
การสร้างยอดขาย และมุ่งเน้นทำแต่ธุรกิจหลัก"
CRC เป็นบริษัทแม่ ที่ดูแลธุรกิจค้าปลีก ของเซ็นทรัลกรุ๊ป กลุ่มธุรกิจค้าปลีกครบวงจร
ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เซ็นทรัลกรุ๊ป เริ่มต้นจากธุรกิจค้าปลีก และยังคงถือว่าธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มมาโดยตลอด
แม้ว่าปัจจุบันในเซ็นทรัลกรุ๊ป จะแตกแขนงธุรกิจออกไปถึง 5 กลุ่มแล้วก็ตาม
(อ่านในประวัติศาสตร์ 70 ปี เซ็นทรัลกรุ๊ป)
ปี 2542 ธุรกิจค้าปลีก สามารถทำรายได้ให้ถึง 74.2% ของรายได้ รวมทั้งหมดของเซ็นทรัลกรุ๊ป
ซึ่งสูงถึง 70,000 ล้านบาท
ผู้ที่รับผิดชอบธุรกิจค้าปลีก จึงเท่ากับดูแลหัวใจของเซ็นทรัลกรุ๊ป
เซ็นทรัลกรุ๊ป เป็นบริษัท ที่ก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลจิราธิวัฒน์
และจิราธิวัฒน์จะยังคงความเป็นเจ้าของเซ็นทรัลกรุ๊ปต่อไปอีกนาน โดยไม่มีวันเปลี่ยน
ตั้งแต่ปี 2499 หลังจากห้างเจ็งอันเต็ง วังบูรพา ต้นแบบของห้างเซ็นทรัลดีพาทเม้นท์สโตร์
ถือกำเนิดขึ้น จนสยายปีกมาเป็นเซ็นทรัลกรุ๊ป ในปัจจุบันจิราธิวัฒน์ตั้งแต่รุ่นที่
1-เตียง จิราธิวัฒน์ รุ่นที่ 2- สัมฤทธิ์, วันชัย จิราธิวัฒน์ คือ ผู้ที่กุมหัวใจในการบริหารธุรกิจของตระกูล
โดยมี น้องๆ และรุ่นลูก เป็นกำลังสำคัญมาโดยตลอด
"จุดเด่นของตระกูลนี้ คือ มีความสามัคคีในหมู่พี่น้อง
ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอมา" ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของตระกูลจิราธิวัฒน์มานาน
ตั้งข้อสังเกต
ความเป็นปึกแผ่นของพี่น้อง และการประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ทำให้คนทั่วไปมองจิราธิวัฒน์
และเซ็นทรัลกรุ๊ปเป็นภาพ ที่ทับซ้อนกัน
"คนส่วนใหญ่มองว่าเซ็นทรัล คือ จิราธิวัฒน์
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด"
จนถึงขณะนี้ Generation ของจิราธิวัฒน์ มาถึงรุ่นที่ 4 มีสมาชิกในตระกูลมากถึง
164 คน แต่คนที่เป็นจิราธิวัฒน์โดยกำเนิด และเข้ามามีส่วนร่วมเป็นผู้บริหารอยู่ในเซ็นทรัล
กรุ๊ป ในปัจจุบันมีอยู่ไม่เกิน 50 คนเท่านั้น (รายละเอียดดูตารางจิราธิวัฒน์รุ่น
2-3 ที่กำลัง มีบทบาทอยู่ในเซ็นทรัลกรุ๊ป)
เป็นสิ่งยืนยันความจริงในประเด็น ที่ว่า แม้ว่าเซ็นทรัลกรุ๊ปจะเป็นของจิราธิวัฒน์
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้นามสกุลจิราธิวัฒน์ทุกคน จะมีสิทธิเข้ามามีส่วนร่วมในเซ็นทรัลกรุ๊ป
"เราต้องมองบริษัทเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาตัวบุคคลเป็นใหญ่
เพราะฉะนั้น ถ้าคนในความสามารถไม่ถึง เราไม่ให้เขาทำ" สุทธิชาติบอก
มีการวิเคราะห์กันว่า จากประสบการณ์ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น มาจนถึงทุกวันนี้
ระดับแกนนำของตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้เรียนรู้หลักการสำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ การที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับองค์กรธุรกิจ
ของตระกูล ให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง และแข็งแรงได้นั้น จะต้อง มีการบริหารครอบครัว
และคนในตระกูลให้ดีด้วย
ในยุคของเตียง จิราธิวัฒน์ (2470-2511) สิ่งที่เขาพร่ำสั่งสอนรุ่นลูกทั้ง
26 คน คือ หลักของความขยัน อดทน ประหยัด รู้จัก และรักในการค้าขาย
ซึ่งเป็นหลัก ที่คนจีนยุคเสื่อผืนหมอนใบ ที่พากันอพยพจากเมืองจีน เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย
ประสบความความสำเร็จมาแล้วนักต่อนัก
ลูกที่มีความใกล้ชิด และได้รับการสั่งสอนโดยตรงจากเตียงมากที่สุดคือ ลูก
3 คนแรก-สัมฤทธิ์,วันชัย และสุทธิพร เพราะเป็นกำลังหลักของตระกูลในช่วงเริ่มต้นการก่อร่าง
สร้างตัว
รุ่นน้องรองๆ ลงไป แม้จะทันได้รับการ อบรมสั่งสอนจากเตียง แต่ความใกล้ชิดก็ไม่เท่าลูก
3 คนแรก เพราะในช่วงนั้น กิจการของเซ็นทรัลเริ่มใหญ่โตขึ้น และจำนวนพี่น้องก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
บทบาทหลักจึงตกอยู่ที่สัมฤทธิ์ ในฐานะพี่ชายคนโต
ในยุคของสัมฤทธิ์ (2511-2535) เป็นยุคของการวางรากฐานตระกูลให้มีความมั่นคง
พร้อม ที่จะเติบโตควบคู่กันไปกับธุรกิจ
ยุคของเขา เป็นช่วงที่กิจการเซ็นทรัลกรุ๊ปอยู่ในช่วงของการขยายตัว ขณะเดียวกันจำนวนคนในตระกูลก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้น
เพราะทั้งตัวเขา และรุ่นน้องๆ ต่างเริ่มมีครอบครัว มีลูกในรุ่นที่ 3 ให้เข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบ
หลักการหลายอย่างที่สัมฤทธิ์นำมาใช้ในการปกครองคนในครอบครัว ก็ เพื่อเตรียมคนในตระกูล
ให้พร้อมเข้ามาอยู่ในธุรกิจ เพื่อร่วมกันสร้างธุรกิจให้เจริญเติบโตขึ้น
เขากำหนดให้พี่น้องทุกคนต้องอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน รับประทานข้าวเย็นพร้อมกัน
เพื่อให้เกิดความสามัคคี และใช้โต๊ะกินข้าวตอนเย็นเป็นห้องประชุมย่อย เพื่อปรึกษาหารือเรื่องธุรกิจ
ข้อกำหนดนี้ ทำให้พี่น้องในตระกูลจิราธิวัฒน์มีความสามัคคีกัน อย่างแนบแน่น
และพร้อมจะร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจของตระกูลให้เติบโตยิ่งขึ้น
เขากำหนดสถานศึกษาให้คนในตระกูล โดยลูกผู้ชายจะต้องเรียนในโรงเรียนอัสสัมชัญ
ลูกผู้หญิงจะต้องเข้ามาร์แตร์เดอี วิทยาลัย เพื่อให้ทุกคนได้มีความรู้ภาษาอังกฤษ
และทุกคนมีโอกาสได้เข้ารับการศึกษาจากต่างประเทศ
"ในครอบครัวจิราธิวัฒน์ สัมฤทธิ์ วันชัย และสุทธิพร
เป็นเพียง 3 คนที่ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศ เพราะอยู่ในช่วง ที่ครอบครัว กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
ดังนั้น เขาจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก" คนที่ใกล้ชิดกับตระกูลนี้
เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
ทั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ และมาร์แตร์เดอี วิทยาลัย เป็นโรงเรียน ที่เกิดขึ้นจากนักสอนศาสนาชาวตะวันตก
การเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องภาษา และวัฒนธรรมทางตะวันตก การที่สัมฤทธิ์บังคับให้รุ่นน้องๆ
ต้อง ผ่านการศึกษาจากทั้ง 2 สถาบัน เปรียบเสมือน การปลูกฝังให้คนในตระกูลจิราธิวัฒน์
มีแนว ความคิดในเชิง ที่อิงตะวันตกค่อนข้างมาก ซึ่ง สิ่งเหล่านี้ กลับมาเป็นผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก
ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูลในภายหลัง เพราะเป็นธุรกิจ ที่มีการผันแปรตลอดเวลา
คนที่ทำธุรกิจนี้จะต้องรู้จักปรับเปลี่ยน ให้ทันแนวคิดการค้าสมัยใหม่ ซึ่งมีต้นแบบมาจากทางตะวันตก
"ค้าปลีกทุกอย่างไม่เหมือนกันทุกวัน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"
สุทธิชาติบอก
ว่ากันว่าแนวคิดในการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกของสัมฤทธิ์ เกิดขึ้นเนื่องจากในช่วง ที่เขาสั่งหนังสือจากต่างประเทศเข้ามาขาย
ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจก่อน ที่จะขยายตัวมาเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
เขาใช้เวลาอ่านหนังสือเหล่านี้ค่อนข้างมาก และได้เห็นข้อ ได้เปรียบในแนวความคิดของทางตะวันตก ที่มีมากกว่าทางฝั่งเอเชีย
โดยเฉพาะวิธีการค้าขายดั้งเดิมแบบไทยๆ ซึ่งเขาและน้องๆ ก็ได้นำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้กับห้างเซ็นทรัล
ในยุคของสัมฤทธิ์ เขาจะเป็นคนคัดเลือกคนในตระกูล ในรุ่นน้อง รุ่นลูก และรุ่นหลาน
ให้เข้าไปรับผิดชอบงานส่วนต่างๆ ของเซ็นทรัลกรุ๊ปด้วยตัวเอง แต่หลักในการคัดเลือกตัวบุคคลของเขา
ยึดตามความสามารถ ไม่ยึดตามศักดิ์อา-หลาน หรือหลักความอาวุโส และหลักการนี้ก็ยังคงได้รับการยึดถือมาโดยตลอด
"เรื่องงานเราไม่นับตามหลักอาวุโส ใครมีความสามารถด้านไหน
ก็ให้ทำด้านนั้น จะนับลำดับศักดิ์ก็ไม่ได้ เพราะหลานมีอายุมากกว่าอา เรานับตามอายุ
อย่างยุวดี (ลูกสาวคนที่ 3 ของสัมฤทธิ์) เป็นหลาน จริยา, สุทธิสาร (ลูกสาว-ลูกชาย
คนสุดท้องของเตียง) เป็นอา สุทธิสาร ต้องเคารพคุณยุวดี เพราะคุณยุวดีอายุมากกว่า"
สัมฤทธิ์เป็นผู้นำตระกูล และผู้นำเซ็นทรัลกรุ๊ป เป็นเวลาถึงกว่า 20 ปี
สามารถวางรากฐานให้กับทั้งเซ็นทรัลกรุ๊ป และตระกูลจิราธิวัฒน์ได้อย่างแน่นหนา
หลังจากสัมฤทธิ์เสียชีวิตลงในปี 2535 วันชัยน้องชายคนต่อจากเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน
หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานเซ็นทรัลกรุ๊ปมาก่อนหน้าแล้ว 3 ปี
ยุคนี้เป็นช่วง ที่คนในตระกูลจิราธิวัฒน์ เริ่มมีจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกัน
ในการทำธุรกิจก็เริ่มมีความสลับซับซ้อน และการแข่งขันกันสูงขึ้น
ยุคนี้เป็นยุคที่วันชัยมองเห็นแล้วว่า การจะนำพากิจการเซ็นทรัลกรุ๊ปให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น
จะต้องทำ 2 ส่วนไป พร้อมเพรียงกัน คือ วางระบบธุรกิจให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส
และการสร้างระบบครอบครัว ก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่น เอื้อต่อ การพัฒนาคนรุ่นใหม่ๆ
ให้พร้อมเข้ามารับช่วงธุรกิจ
การสร้างระบบครอบครัว วันชัยดำริให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา
เรียกเป็น Family Council ของตระกูลจิราธิวัฒน์ กรรมการชุดนี้ จะเข้ามามีบทบาทในการวางรากฐานให้กับครอบครัวจิราธิวัฒน์
เพื่อให้เติบใหญ่ได้อย่างมีระบบต่อไปในอนาคต
เขามองไกลไปข้างหน้า โดยยึดหลักการเดิมของเตียง บิดาของเขา ที่ต้องการสร้างครอบครัวให้ใหญ่
แต่จะทำอย่างไร ที่ครอบครัวใหญ่แล้วยังคงมีความกลมเกลียว สมานสามัคคี กันอย่างแนบแน่น
ซึ่ง Family Council จะต้องเข้ามากำหนดกฎระเบียบตรงนี้ให้มีความชัดเจน
นอกจากนี้ Family Council จะต้องเข้ามาดูในเรื่องสวัสดิการ การดูแลคนในครอบครัว
ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีการศึกษา เพื่อเตรียม ความพร้อมของคนในรุ่นหลังๆ
ในการเข้ามารับผิดชอบในธุรกิจของตระกูล
"คนที่อยู่ในครอบครัวของเรา เข้ามาทำธุรกิจของครอบครัวจำนวนไม่น้อย
ซึ่งตรงนี้ ถ้าเขาเรียนหนังสือดี ได้รับโอกาสดี มีพื้นฐาน จิตใจดี ครอบครัวเขาดี
เขาก็มีสิทธิ์ ที่จะทำธุรกิจให้ดีขึ้น ไม่ต้องมานั่งห่วงใยครอบครัว"
ดร.สุทธิพันธ์ ลูกชายคนที่ 7 จากบุญศรี ภรรยาคนที่ 2 ของเตียง ในฐานะเลขาธิการ
Family Council ของตระกูลจิรา ธิวัฒน์ บอกกับ "ผู้จัดการ"
"เราทำธุรกิจมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ไปสู่รุ่นลูก
รุ่นหลาน และต่อไป จะเป็นรุ่นเหลน รุ่น 4 รุ่น 5 ซึ่งพอมาถึงตรงนี้เขาอาจไม่รู้แล้วว่า
รุ่นคุณทวด คุณปู่ เขาเป็นกันมาอย่างไร" ดร.สุทธิพันธ์กล่าวถึงอีกวัตถุประสงค์หนึ่งในการจัดตั้ง
Family Council (รายละเอียดอ่านใน Family Council รูปแบบการจัดการกงสีอย่างมีระบบ)
การจัดระบบธุรกิจในยุคของวันชัย (2535-ปัจจุบัน) เป็นช่วง ที่เซ็นทรัลกรุ๊ปได้จัดโครงสร้างของธุรกิจ ที่กระจัดกระจายให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบ
และการจัดวางกำลังคน ในตระกูลไว้ตามจุดต่างๆ
ในยุคนี้ ได้ชูบทบาทบริษัทเซ็นทรัลกรุ๊ป ซึ่งเป็นโฮลดิ้ง คัมปะนีของตระกูล
ให้เป็นแกน นำ โดยเข้าไปถือหุ้นใหญ่ และคอยกำกับนโยบายการดำเนินงานของบริษัทในเครือ
มีวันชัยเป็นประธาน สุทธิพร น้องชาย คนถัดจากเขาเป็นรองประธาน และสุทธิชัย
ซึ่งเป็นคนดูแลด้านการเงินของเซ็นทรัลมาตลอด รองประธาน และประธานอำนวยการฝ่ายการเงิน
ส่วนธุรกิจในเครือทั้งหมด ได้มีการแบ่งหมวดหมู่ออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่ม ที่ 1 - ค้าปลีก มีสุทธิชาติ เป็นประธาน
กลุ่ม ที่ 2 - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีสุทธิธรรม เป็นประธาน
กลุ่ม ที่ 3 - โรงแรม และรีสอร์ต และ กลุ่ม ที่ 4 - ฟาสต์ฟูด มีสุทธิเกียรติ
เป็นประธาน
กลุ่ม ที่ 5 - ผลิต และค้าส่ง มีสุทธิศักดิ์ เป็นประธาน
บุคคลทั้งหมดเป็นคนในตระกูลจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 2 ซึ่งในรุ่นนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
26 คน โดยคนที่เหลือได้ถูกกระจายออกไปดูแลงาน หลักๆ ของทั้ง 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มค้าปลีก มีสุกัญญา พร้อมพันธ์ ดูแลด้านการเงิน, สุทธิลักษณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
CRC, บุษบา จิราธิวัฒน์ ดูแลห้างสรรพสินค้าเซน, วัลยา จิราธิวัฒน์ ดูแลฝ่ายพัฒนาธุรกิจ,
นาถยา จิราธิวัฒน์ ดูแลโรบินสัน, จริยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ
บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
ฝ่ายบริหารสินค้า ห้าง Power Buy
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีสุทธิเดช จิราธิวัฒน์ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่
และสุทธิภัค จิราธิวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
กลุ่มโรงแรม มีสุพัตรา ประมิติธนการ เป็นรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และกลุ่มผลิต และค้าส่ง
มีมุกดา เอื้อวัฒนะสกุล ดูแลด้านการเงิน และปิยพรรณ ชูเทศะ ดูแลผลิตภัณฑ์เครื่องกีฬา
"ต่อไปถ้าจะพูดกันถึงเรื่องของธุรกิจ เราจะต้องมองไป ที่เซ็นทรัล
กรุ๊ป และถ้าจะพูดถึงเรื่องจิราธิวัฒน์ ให้มาดู ที่ Family Council"
ดร.สุทธิพันธ์พยายามแยกภาพ ที่ซ้อนทับ กันอยู่ระหว่างความเป็นจิราธิวัฒน์
กับเซ็นทรัล ให้ชัดเจนขึ้น
ในขณะที่จิราธิวัฒน์รุ่นที่ 2 ยังคงเป็น กลุ่มคนที่มีบทบาทหลักในธุรกิจของเซ็นทรัลกรุ๊ป
แต่ในยุคนี้ ก็มีจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 3 ที่เริ่มขยายบทบาทแทรกเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจมากขึ้น
จิราธิวัฒน์รุ่นที่ 3 ที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญ เช่น ยุวดี พิจารณ์จิตร
ลูกสาวคนที่ 3 ของสัมฤทธิ์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเซ็นทรัลดีพาทเม้นท์สโตร์
(CDS) กอบชัย จิราธิวัฒน์ ลูกชายของวันชัย เป็นรอง กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) หรือปริญญ์ จิราธิวัฒน์ ลูกชายของสัมฤทธิ์ เป็นกรรมการบริหาร
ดูแลเรื่องการ เงิน เซ็นทรัลกรุ๊ป ฯลฯ (รายละเอียดดูตารางจิราธิวัฒน์รุ่น
2-3 ที่กำลังมีบทบาทอยู่ในเซ็นทรัลกรุ๊ป)
สังเกตได้ว่าจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 3 ที่เข้ามามีบทบาทส่วนใหญ่ในขณะนี้ จะเป็นลูกของจิราธิวัฒน์รุ่นที่
2 ที่เกิดจากหวาน ภรรยาคนแรกของเตียง
ซึ่งประกอบไปด้วยสัมฤทธิ์, วันชัย, สุทธิพร, มุกดา เอื้อวัฒนสกุล, สุทธิเกียรติ
และสุทธิชาติ
มีเพียง พงษ์ และพลินี ศกุนตนาค ซึ่งเป็นลูกของลิดา (ภายหลังเปลี่ยนกลับมาใช้นามสกุลจิราธิวัฒน์)
ลูกสาว ที่เกิดจากบุญศรี ภรรยาคนที่ 2 ของเตียงเท่านั้น ที่ได้เข้ามามีบทบาทอยู่ในธุรกิจของตระกูลแล้ว
ส่วนจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 3 ที่เหลือ ถ้าไม่อยู่ในระหว่างการศึกษา ก็ทำงานอยู่ในบริษัทอื่น ที่อยู่นอกเซ็นทรัลกรุ๊ป
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะเป็นกำลังสำคัญของเซ็นทรัลกรุ๊ปต่อไปในอนาคต
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจิราธิวัฒน์กลุ่มนี้ จะมีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในเซ็นทรัลกรุ๊ปได้ทั้งหมด
"เราดู ที่ความสามารถเป็นหลัก"
สุทธิชาติย้ำ
ในยุคของวันชัย เป็นช่วง ที่เซ็นทรัลกรุ๊ป มีการ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากยุคก่อน ที่สัมฤทธิ์ได้เคยวาง
รากฐานไว้
เป็นช่วงเดียวกับ ที่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจของประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างหวือหวา
ตั้งแต่วันชัยขึ้นมารับตำแหน่งประธานเซ็นทรัล กรุ๊ปในเดือนสิงหาคม 2532
ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว เซ็นทรัลกรุ๊ปก็ได้อาศัยจังหวะเช่นนี้ เปลี่ยนรูปแบบการระดมทุน
โดยการผลักดันบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในช่วงต้นปี 2533 ซึ่งสามารถระดม เงินได้ก้อนใหญ่ไว้ใช้ในการขยายกิจการ
การนำธุรกิจในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางการบริหารเงินของเซ็นทรัลกรุ๊ป
เพราะกลุ่มนี้ถนัดในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาใช้ในโครงการมาตลอด
ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น
โครงการใหญ่ ที่ต้องใช้เงินกู้มากที่สุด คือ โครงการเซ็นทรัลพลาซา ที่ต้องอาศัยเงินกู้ส่วนหนึ่งจากต่างประเทศ
เพราะในช่วงปี 2521 ที่เริ่มโครงการ ใหม่ๆ ธนาคารภายในประเทศไม่มีความมั่นใจในสถานการณ์
จึงไม่ค่อยเต็มใจปล่อยกู้ให้มากนัก มีเพียงธนาคารกรุงเทพ ที่ปล่อยสินเชื่อให้
600 ล้านบาท กับธนาคารศรีนคร อีก 100 ล้านบาท
ซึ่งเงินกู้จากต่างประเทศก้อนดังกล่าว เคยทำให้เซ็นทรัลกรุ๊ปเจ็บปวดไม่น้อย
ภายหลังจากการประกาศลดค่าเงินบาทในปี 2524 และ 2527
และได้กลายเป็นประสบการณ์ ที่ทำให้เซ็นทรัลกรุ๊ปไม่นิยมกู้เงินจากต่างประเทศ
แม้ว่าปัจจัยหลายประการ จะเอื้ออำนวยให้อย่างมากในภายหลัง
นอกจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นแล้ว ในภาคพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในยุคนี้ก็จัดได้ว่าบูมสุดขีด
เดือนมีนาคม 2538 เซ็นทรัลกรุ๊ป ได้ผลักดันให้บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN)
บริษัทหลักทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อีกแห่งหนึ่ง
CPN มีสุทธิธรรมเป็นคนดูแล
การเข้าจดทะเบียนของ CPN ถือเป็น Strategic Movement ครั้งสำคัญของเซ็นทรัลกรุ๊ป
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ กลุ่มค้าปลีก (CRC) กลุ่มธุรกิจหลักของตระกูล
ซึ่งมีสุทธิชาติเป็นคนดูแล
และเป็นผลกระทบด้านบวก !!!
ในกลุ่มจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 2 สามารถแบ่งช่วงทายาทธุรกิจ ออกได้เป็น 2 ยุค
ยุคแรกคือ กลุ่มบุคคล ที่ทำงานใกล้ชิดกับเตียงตั้งแต่ยังบุกเบิกธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยสัมฤทธิ์,
วันชัย, สุทธิพร ซึ่งต่อมาภายหลังจากการเปิดห้างเซ็นทรัลสาขาสีลมใหม่ๆ ในปี
2511 สุทธิเกียรติกับสุทธิชัยเพิ่งเรียนจบมาจากนอกก็เข้ามาอยู่ร่วมในกลุ่มนี้ด้วย
ในปี 2529 "ผู้จัดการ" เคยขนานนามทั้ง 5 คนนี้ว่า เป็น 5 เสือเซ็นทรัล
เพราะเป็น กลุ่ม ที่มีบทบาทนำในธุรกิจ ทุกๆ ด้าน
หลังจากนั้น เป็นลูกสาว ประกอบด้วย สุจิตรา มุกดา และรัตนา ก็เริ่มเข้ามาช่วยธุรกิจ
ในช่วงนี้
ส่วนจิราธิวัฒน์รุ่น 2 ยุคถัดมา ซึ่งเข้ามามีบทบาทในธุรกิจของตระกูล เมื่อเริ่มมีการขยายตัวไปแล้วระดับหนึ่ง
แกนนำของคน รุ่นนี้คือ สุทธิชาติ และสุทธิธรรม
ทั้งคู่ ถือเป็นพี่น้อง ที่ทำงานเข้าขากันได้อย่างดียิ่ง
ทั้งสุทธิชาติ และสุทธิธรรม เริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ พร้อมๆ ไปกับการเปิดห้างเซ็นทรัลสาขาชิดลม
โดยสุทธิชาติเริ่มต้นจากการดูแลการพัฒนาบุคลากร และสุทธิธรรมดูแลการโฆษณา และส่งเสริมการขาย
ผลงานของทั้งคู่ ทำให้สาขาชิดลมเป็น สาขา ที่ประสบความสำเร็จ สามารถทำกำไรได้
ตั้งแต่เปิดเป็นปีแรก และยังคงเป็นห้าง ที่มีกำไร สูงสุดอยู่จนถึงปัจจุบัน
ภายหลังของการแบ่งกลุ่มรับผิดชอบในปี 2532 โดยสุทธิชาติดูแลกลุ่มค้าปลีก
และสุทธิธรรมดูแล CPN เป็นช่วง ที่กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ป มีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด
มีการขยายรูปแบบห้างสรรพสินค้าประเภทใหม่ นอกเหนือจาก ห้างเซ็นทรัลดีพาทเม้นท์สโตร์อีกหลายประเภท
ทั้งคอนวีเนียนสโตร์ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ การแยกซูเปอร์มาร์เก็ตออกมาดำเนินกิจการเองต่างหากในชื่อว่า
ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนการซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เพื่อหวังเจาะลูกค้ากลุ่ม
C โดยเฉพาะ
แม้กระทั่งการออกไปเปิดห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศ ก็เคยวางแผนเอาไว้ (รายละเอียดอ่านใน
CRC หัวหอกธุรกิจเซ็นทรัลกรุ๊ป)
การขยายตัวของกลุ่มค้าปลีก ดำเนินควบคู่ไปกับการขยายตัวของ CPN โดย CPN
จะเป็นคนรับภาระการลงทุนก่อสร้างตัวอาคาร และบริหารอาคาร โดยให้ CRC เป็นลูกค้า
เซ้งพื้นที่อาคารทำเป็นห้างสรรพ สินค้า
ซึ่งเป็นการตัดภาระการลงทุนก่อสร้างตัวอาคารออกไปจาก CRC ทำให้ CRC สามารถทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าได้อย่างเต็มที่
ส่วน CPN ก็ไม่ต้องพะวงในเรื่องของเงินทุน เพราะสามารถระดมทุนได้จากตลาดหลักทรัพย์
Strategic Movement ครั้งนี้ ทั้ง CRC และ CPN มีแต่ได้กับได้ทั้ง 2 ฝ่าย
จากการขยายงาน ที่เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดของเซ็นทรัลกรุ๊ปในยุคนี้ ได้เปิดช่องว่างให้คนนอกตระกูลจิราธิวัฒน์
สามารถแทรกเข้า มามีบทบาทในเซ็นทรัลกรุ๊ปมากขึ้น เพราะยังเป็นช่วง ที่จิราธิวัฒน์รุ่นที่
3 หลายคนยังไม่พร้อม ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานในธุรกิจของตระกูล
ความไม่พร้อมดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าคนกลุ่มนี้ยังเด็กเกิน ไป แต่เป็นเพราะกฎของตระกูล ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในภายหลัง
บังคับให้คนรุ่นนี้จะต้องออกไปทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทอื่นๆ ก่อนระยะหนึ่ง
จึงจะสามารถ กลับเข้ามาทำงาน ในเซ็นทรัลกรุ๊ปได้
"เรากำหนดไว้เลยว่าอย่างน้อยต้องทำงานข้างนอกมาแล้ว
6 ปี ถึงค่อยกลับเข้ามา" สุทธิชาติย้ำกับ "ผู้จัดการ"
ในยุคของวันชัย เซ็นทรัลกรุ๊ปต้องผ่านพ้นอุปสรรคสำคัญถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรก เมื่อห้างเซ็นทรัล สาขาชิดลมไฟไหม้ ในช่วงปลายปี 2538 หลัง CPN
เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้เพียง 9 เดือน
สาขาชิดลม ถือเป็นหัวใจของเซ็นทรัลกรุ๊ป เพราะนอกจากจะเป็นห้างต้นแบบของห้างเซ็นทรัลหลายสาขาแล้ว
ยังเป็นฐานบัญชา การสำคัญของเซ็นทรัลกรุ๊ป
การเกิดไฟไหม้ขึ้น ที่ห้างนี้ นอกจากจะทำให้สาขานี้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งสูญเสียรายได้ เนื่องจากเหตุการณ์เกิด ขึ้นในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว
ยังทำลายเอกสารสำคัญของเซ็นทรัลกรุ๊ปไปเป็นจำนวนมาก
แต่เซ็นทรัลกรุ๊ปก็ใช้จังหวะ ที่จะต้องรื้อตัวอาคาร เพื่อสร้างใหม่ ถือโอกาสปรับระบบ
การทำงานภายใน นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามา ใช้ เพื่อทำให้ระบบการทำงานได้มาตรฐานขึ้น
อุปสรรคครั้ง ที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540
อาจนับได้ว่าเซ็นทรัลกรุ๊ปโชคดีกว่านักธุรกิจในเมืองไทยอีกหลายกลุ่ม เพราะเคยมีประสบการณ์เจ็บปวดมารอบหนึ่งแล้วเมื่อครั้งประเทศไทยลดค่าเงินบาทในปี
2524 กับปี 2527 ทำให้สัดส่วนเงินกู้ต่างประเทศของ เซ็นทรัลกรุ๊ปมีไม่มาก
"เรามีเพียงโรบินสัน ที่มีเงินกู้ต่างประเทศสูงถึง
300 ล้านดอลลาร์" สุทธิชาติกล่าว
ผลกระทบ ที่เซ็นทรัลกรุ๊ปได้รับคือ ขาดเงินสด เพื่อนำมาใช้ในการขยายงาน เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยเงินกู้ให้
และเช่นเดิม เซ็นทรัลกรุ๊ปได้ฉวยจังหวะ ที่เกิดวิกฤติในครั้งนี้ หันกลับมาพิจารณาตัวเองใหม่
มีการปรับทิศทางการลงทุน โครงการใด ที่ลงทุนไปแล้ว มีแนวโน้มว่าจะไม่มีกำไร
ได้ตัดทิ้งไป เหลือไว้เฉพาะโครงการที่มีความจำเป็น หรือเป็นธุรกิจ ที่เซ็นทรัลกรุ๊ปมีความถนัด
"แต่ก่อนเราอยากจะทำอะไร ก็จดทะเบียนตั้งบริษัทเป็นว่าเล่น
มีเกือบ 200-300 บริษัท แต่ตอนนี้เราปิดหมด เหลือทิ้งไว้เฉพาะ ที่สำคัญจริงๆ"
สุทธิชาติบอกกับ "ผู้จัดการ"
โดยเฉพาะ CRC สุทธิชาติประกาศเป็นนโยบายออกมาตั้งแต่วิกฤติใหม่ๆ เลยว่า
จะไม่ขยายสาขาของเซ็นทรัลดีพาทเม้นท์สโตร์ไป อีก 3 ปี โดยใช้เวลาในช่วงนี้
ทำการล้างบ้านใหม่
เป็นแนวทางคล้ายกับ ที่เคยทำไว้เมื่อครั้งไฟไหม้สาขาชิดลม
"การล้างบ้าน หมายถึง การจัดสรรทำใหม่ให้เข้า ที่
เพราะตอนนั้น เราขยาย เรารับคนมากเกินไป ตอนนี้เราต้องมาดูว่าอะไร ที่อ้วนๆ
คนมากไป ต้องจับมารวมกันใหม่ ให้คนกลุ่มเดียวทำ"
ถือเป็นการพลิกฟื้นอุปสรรค ที่เผชิญอยู่ให้เป็นโอกาสเป็นครั้ง ที่ 2 ในยุคที่วันชัยเป็นประธานกรรมการเซ็นทรัลกรุ๊ป
ปัจจุบัน วันชัยอายุ 75 ปี แต่ก็ยังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเขารับตำแหน่งประธานมาแล้วถึง
11 ปีเต็ม
สุทธิพร น้องคนถัดจากวันชัย หลายปีก่อนเขาสุขภาพไม่ดี ช่วงนี้ จึงมุ่งทำงานทางด้านศาสนา
เป็นตัวแทนให้กับเซ็นทรัลกรุ๊ป นำกฐินพระราชทานไปถวายตามวัดต่างๆ เป็นหลัก
ทั้ง 2 คน นับวันยิ่งห่างจากงานประจำวันในธุรกิจของตระกูลมากขึ้นตามอายุ
ในขณะที่ภาคธุรกิจเอง มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติจากฝั่งตะวันตก
ธุรกิจ ที่จะต้องอยู่รอดได้ในช่วงนี้ จะต้องมีความกระฉับกระเฉง และก้าวทันแนวคิดของทุนต่างชาติ
คนที่ติดตามการเคลื่อนไหวในกลุ่มเซ็นทรัลมาอย่างต่อเนื่อง มองสถานการณ์ของเซ็นทรัลกรุ๊ปในขณะนี้
แล้วเริ่มมีความรู้สึกว่าอีกไม่นานอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในเซ็นทรัลกรุ๊ป
ทั้งนี้ เพราะมีสัญญาณบ่งชี้บางประการ แสดงออกมาให้เห็น
ประการแรก - ระยะเวลา 3 ปีที่กลุ่มค้าปลีกของเซ็นทรัลกรุ๊ป ชะลอการขยายตัว
ใกล้จะหมดลงแล้ว และในปีหน้า โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่ของ
CPN ที่พระราม 2 จะสร้างเสร็จ ซึ่งกลุ่มค้าปลีกของ เซ็นทรัลกรุ๊ปก็จะขยายสาขาไปเปิดในโครงการ
ดังกล่าวด้วย ทั้งเซ็นทรัลดีพาทเม้นท์สโตร์, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, Power
Buy และ Super Sport
ซึ่งหมายความได้ว่า เซ็นทรัลกรุ๊ปจะเริ่ม กลับมารุกใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ประการที่ 2 - ในกลุ่มจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 2 ขณะนี้ได้เริ่มมีแนวคิด ที่จะโยกย้ายสายงาน
ในความรับผิดชอบของแต่ละคนใหม่ หลังจาก มีการแบ่งกลุ่มกันมาแล้วกว่า 10 ปี
ขณะเดียวกัน ก็จะมีการปรับย้ายสายงานของจิราธิวัฒน์รุ่นที่ 3 ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
และอาจจะมีการคัดเลือกคนในรุ่นเดียวกัน ที่ มีประสบการณ์ และความพร้อม เข้ามาทำงาน
ในเซ็นทรัลกรุ๊ปเพิ่มมากขึ้น
เป็นการจัดกระบวนทัพ เพื่อเตรียมต่อสู้ในสมรภูมิธุรกิจ ที่กำลังเข้มข้นขึ้น
โดยเฉพาะการรุกเข้ามาของยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกจากต่างประเทศ
"เรื่องการเปลี่ยนแปลง คงจะต้องเข้า ไปคุยในบอร์ดของเซ็นทรัลกรุ๊ป
โดยปีหน้าเป็น ปีที่เราจะคัดเลือกตัวบุคคล ส่วนการ Rotate เป็นปีถัดไป"
สุทธิชาติสรุปกับ "ผู้จัดการ"
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเซ็นทรัลกรุ๊ปช่วง หลังจากนี้ไป เป็นเรื่อง ที่ต้องติดตามเป็นอย่างยิ่ง