ทีซีซีควงพันธมิตรสิงคโปร์ เคลื่อนทัพลุยตลาดกลาง ตั้งบริษัทลูก “เอสแอนด์เอส เรสซิเดนเชียล” รุกซิตี้คอนโด 1 ล้านบาท ประเดิมทำเลแรกสุขุมวิท 101/1 ตั้งเป้าลุย 2 โครงการต่อปีควบตลาดไฮเอนด์ เร่งดึงนักลงทุนต่างชาติพัฒนาแลนด์แบงก์ที่ชะอำเจาะตลาดเกษียณ พร้อมปั้นแบรนด์ “อิม” เจาะตลาดโรงแรมราคาประหยัด
หากจับตามองความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของเครือข่ายธุรกิจในกำมือของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” จะเห็นได้ถึงความพยายามที่ไม่หยุดยั้งของเจริญที่รุกคืบเดินหน้าเทคโอเวอร์ เพื่อหวังขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกตลาดมากที่สุด ในขาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนาม ทีซีซี แลนด์ก็เช่นกัน แม้จะเริ่มต้นมาจากอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม แต่เมื่อก้าวเข้าไปจับมือกับแคปปิตอล แลนด์ พันธมิตรจากสิงคโปร์ ในนามที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ ด้วยการพัฒนาโครงการเจาะตลาดไฮเอนด์ ก็ถือเป็นสัญญาณให้รู้ว่า เจริญให้ความสนใจกับเซกเมนต์ที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กันด้วย
แม้ตลาดซิตี้คอนโดในแนวรถไฟฟ้าขณะนี้จะเป็นเรดโอเชี่ยนที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ทีซีซี แลนด์กลับยังเชื่อมั่น และเห็นถึงโอกาสที่จะเติบโตในตลาดนี้ได้ จึงตั้งบริษัท เอสแอนด์เอส เรสซิเดนเชียล จำกัดขึ้นเป็นบริษัทลูกของที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ เพื่อรุกตลาดนี้โดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ “เอสแอนด์เอส” โดยโฟกัสไปที่เซกเมนต์ระดับกลาง 1-2 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่แมสขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ไม่เคยทำมาก่อน จากเดิมที่เน้นเฉพาะตลาดไฮเอนด์เป็นหลัก จากที่เคยเข้าใจว่า เจริญจะใช้ยูนิเวนเจอร์ที่ไปเทคโอเวอร์มาเป็นหัวหอกในการรุกตลาดระดับกลางแทน แต่การตั้งบริษัทลูกนี้ขึ้นสะท้อนชัดว่า ทีซีซี แลนด์ ต้องการที่รุกตลาดนี้เอง และโสมพัฒน์ ไตรโสรัส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสแอนด์เอส เรสซิเดนเชียล จำกัด บอกว่า บทบาทของสิริวัฒนภักดีในยูนิเวนเจอร์เป็นเพียงนักลงทุนเท่านั้น แต่บทบาทงานบริหารยังเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นเก่า
คอนเซ็ปต์ของแบรนด์เอสแอนด์เอส มาจาก Sufficiency (ความพอเพียง) และ Sustainable(ความยั่งยืน) ทำให้การพัฒนาโครงการออกมาในรูปแบบของอาคารประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นคนรุ่นใหม่อายุ 25-35 ปีเป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งโสมพัฒน์มั่นใจว่า คนกลุ่มนี้ตอบรับกับการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น และมีกำลังซื้อพอสมควร โดยแบรนด์นี้จะเน้นทำเลที่อยู่ในชุมชน เข้าซอย แต่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ซึ่งอาจจะเป็นส่วนต่อขยาย ในระดับราคาไม่เกิน 50,000 บาทต่อ ตร.ม. หรือต้นทุนราคาที่ดินไม่เกิน 100,000 บาทต่อ ตร.วา ขนาดโครงการประมาณ 400-500 ยูนิต โดยโครงการแรก ได้แก่ เอสแอนด์เอส สุขุมวิท คอนโดมิเนียมสูง 18 และ 22 ชั้น รวม 810 ยูนิต บนที่ดิน 7 ไร่ ซอยสุขุมวิท 101/1 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยาย 600 เมตร พื้นที่ใช้สอย 29.5-69 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการในแบรนด์ดังกล่าว 2 โครงการต่อปี มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท
เฉิน เหลียน ปัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสแอนด์เอส เรสซิเดนเชียล จำกัด กล่าวว่า แผนการลงทุนของบริษัทฯ ต่อจากนี้จะเน้นตลาดระดับกลางและไฮเอนด์ควบคู่กันไป โดยในช่วงกลางปีจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “วิลล่า” รวม 200 ยูนิต บนที่ดิน 4-5 ไร่ ในทำเลย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 2 เท่าจาก 3,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จากยอดโอนคอนโดมิเนียม 2 โครงการ
ในส่วนของทีซีซี แลนด์ปีนี้ยังเดินหน้าในการรุกธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงแรม 2 แห่งที่สมุย ได้แก่ สตาร์วูด ลักชัวรี่ คอลเลคชั่น หาดเฉวง และบันยันทรี สมุย คาดว่าจะแล้วเสร็จอีก 2 ปีข้างหน้า และโรงแรม 5 ดาว ขนาด 250 ห้องในซอยสุขุมวิท 24 รวมทั้งเร่งเดินหน้ารุกตลาด Budget Hotel หรือโรงแรมราคาประหยัด เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับล่าง ภายใต้แบรนด์ “Imm (อิม)” ให้ได้ตามเป้าหมาย 5,000 ห้อง ซึ่งบริษัทฯ จะเป็นผู้บริหารเอง โดยเน้นหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งโสมพัฒน์บอกว่า เป็นตลาดที่มี Occupancy ดี ให้ผลตอบแทนสูง แต่ยังมีคู่แข่งน้อย โดยจะลงทุน 150 ล้านบาทต่อโครงการ ขนาดประมาณ 120 ห้อง ค่าเช่าไม่เกิน 700-800 บาทต่อคืน โดยโครงการแรกอยู่ที่สุขุมวิท 50 และเชียงใหม่ ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ส่วนหัวหินและสมุย อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
สำหรับแลนด์แบงก์ 12,000 ไร่ที่ชะอำได้ข้อสรุปแล้วว่า จะพัฒนาเป็นสนามกอล์ฟ บ้านพักตากอากาศ และโรงแรม เพื่อเจาะตลาดเกษียณแทนแผนเดิมที่จะพัฒนาเป็นสวนสนุก โดยทีซีซี แลนด์จะมีบทบาทเป็น Master Developer หรือเจ้าของที่ดินที่กำหนดแปลนการใช้พื้นที่ ลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภค พัฒนาที่ดินในบางส่วน และแบ่งที่ดินบางส่วนให้ดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติรายต่างๆ เข้ามาเช่า เพื่อพัฒนาเป็นโครงการต่างๆ ตามที่แปลนที่ได้วางไว้ โดย 4,000 ไร่จะขุดเป็นทะเลสาบ เพื่อแหล่งน้ำใช้ของโครงการ อีก 4,000 ไร่ พัฒนาเป็นสนามกอล์ฟขนาด 18 หลุม ให้บริษัทในเครือเป็นผู้บริหาร และอีก 4,000 ไร่ พัฒนาเป็นโรงแรม 5-6 แห่ง และวิลล่าขายให้ดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติ หรือให้สิทธิเช่าระยะยาว (Lease Hold) ซึ่งเมื่อวางแปลนโครงการเสร็จจะนำไปโรดโชว์ เพื่อเสนอนักลงทุนที่ยุโรป และตะวันออกกลาง
|