|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หุ้นไทยสัปดาห์นี้ ฝากชะตาไว้กับ 2 ปัจจัยทั้งใน-นอกประเทศ ลุ้นคำตัดสินยุบ "ชาติไทย-มัชฌิมาฯ" 18 มี.ค. นี้ เพื่อสร้างความชัดเจนปัญหาการเมืองไทย ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศต้องรอผลการลดดอกเบี้ยเฟดรอบนี้ หากต่ำกว่าที่คาดการณ์ 0.5-0.75% กระทบตลาดหุ้นหุ้นแน่ ด้านโบรกเกอร์ฟันธงตลาดหุ้นสัปดาห์ผันผวนหนักแน่นอน ดัชนีส่อหลุด 790 จุด เหตุหุ้นใหญ่เครือปตท.เตรียมขึ้น XD เพียบ
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังคงต้องติดตามปัจจัยทั้งสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินคดียุบ 2 พรรคการเมือง ทั้งพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิไตย ในคดีทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง รวมถึงคดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่อาจจะลามถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งในกรณีของการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาฯจะมีการตัดสินในวันที่ 18 มี.ค.นี้ รวมถึงการประกาศรวมตัวอีกครั้งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตยในวันที่ 28 มี.ค.
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ คือการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในรอบการประชุมครั้งนี้เฟดอาจจะต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.5-0.75% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยทั้ง 2 เรื่องถือว่าเป็นประเด็นที่อาจจะกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยตลอดสัปดาห์นี้
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากประเด็นทางการเมืองที่ยังถือเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนโดยเฉพาะกรณีผลการตัดสินคดียุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย รวมถึงการพิจารณาคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ซึ่งเรื่องดังกล่าวถืออาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง
ทั้งนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น อาจเป็นเพราะต้องการขายสินทรัพย์เสี่ยงที่ถือครองเพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลการประชุมพิจารณาลดดอกเบี้ยของเฟด เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ถดถอยอย่างรุนแรงจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้น้อยกว่าที่คาดการณ์อาจทำให้เกิดแรงกดดันให้ต้องขายเงินลงทุนออกมาได้ ซึ่งจะขยายวงกว้างกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการขึ้นเครื่องหมาย XD โดยเฉพาะในกลุ่มบมจ. ปตท. (PTT) ไม่ว่าจะเป็น PTT, PTTAR, PTTCH จะเป็นอีกเหตุผลที่กดดันดัชนีให้ต้องปรับตัวลดลง โดยประเมินแนวรับ 790 จุด และแนวต้าน 820 จุด
ฟันธงหุ้นไทยผันผวนหนัก
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นตลอดสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ผันผวนอย่างมาก จากปัจจัยต่างประเทศเกี่ยวกับการประชุมของเฟดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้ส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้หรือไม่ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.50 - 0.75% ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์คงส่งผลต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องที่ตลาดรับรุ้มาก่อนแล้ว แต่หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่า 0.75% ถือเป็นข่าวดีที่จะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ได้
ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังต้องรอความชัดเจน หลังจากเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยได้สรุปและส่งสำนวนต่อ กกต. เพื่อพิจารณาในวันที่ 18 มีนาคมนี้ หากผลคำตัดสินออกมาว่ากรรมการบริหารพรรคทั้งสองพรรคคนอื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส่งผลให้ทั้งสองพรรครอดพ้นการถูกยุบพรรค จะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์ดีขึ้น
ในทางตรงกันข้ามหากผลคำตัดสินออกมาอีกแบบหนึ่ง และอาจนำไปสู่การยุบพรรคทั้งสองพรรค รวมทั้งทำให้เกิดความกังวลกับเสถียรภาพของรัฐบาล ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับลดลงได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคแนวต้านอยู่ที่ 830 จุด ซึ่งหากดัชนีสามารถยืนเหนือ 830 จุดได้ แนวโน้มระยะสั้นจะดี แต่หากดัชนีไม่สามารถยืนเหนือ 830 จุดได้ ก็มีโอกาสปรับลดลงมาทดสอบแนวรับที่ 790 จุด
"ปกรณ์"ย้ำฝรั่งขายเรื่องปกติ
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นเรื่องปกติของการลงทุนที่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ต้องมีการขายทำกำไรออกมา ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังขาดแรงดึงดูดที่จะรั้งให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนระยะยาว
"คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาเพราะเมื่อราคาปรับเพิ่มขึ้นก็ต้องมีการขายทำกำไรเป็นเรื่องธรรมดา"นายปกรณ์ กล่าว
|
|
 |
|
|