|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ก.ล.ต.จัดสรรวงเงินไพรเวตฟันด์ลุยต่างประเทศแล้ว เผยนิติบุคคลรับไปรายละ 50 ล้าน$ แต่ทยอยรับครั้งละไม่เกิน 5 ล้าน$ เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป ลงทุนได้ไม่เกินครั้งละ 5 แสน$จนกว่าจะเต็มเพดานที่ 5 ล้าน$ สุดไฮเทค ยื่นขอผ่านระบบอัติโนมัติ พร้อมตัดเงินทันทีหาก 30 วันไม่มีการใช้เงิน ส่วนวงเงิน FIF ทบทวนการจัดสรรใหม่ทุกๆ 3 เดือน มีผล14 มีนาคมนี้
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงานได้ออกประกาศซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสรรวงเงินลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งลงนามโดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานก.ล.ต.ให้กับบริษัทจัดการกองทุนรับทราบ หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดสรรวงเงินลงทุนเพิ่มอีกจำนวน 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวทางการจัดสรรวงเงินดังกล่าว แยกออกเป็นวงเงินสำหรับกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงวงเงินสำหรับกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวตฟันด์)
โดยในส่วนของกองทุนส่วนบุคคล สำนักงานได้กำหนดวงเงินลงทุนต่างประเทศให้กับผู้ลงทุนที่เป็นนิติบุคคลตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายละไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะทยอยจัดสรรให้ครั้งละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อใช้ไปถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐ สามารถขอจัดสรรเพิ่มเติมได้จนกว่าจะเต็มวงเงินที่ได้รับอนุมัติในแต่ละราย
ในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดาและผู้ลงทุนอื่นๆ นอกเหนือจากนิติบุคคล กำหนดวงเงินลงทุนรายละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะทยอยจัดสรรวงเงินให้ครั้งละไม่เกิน 5 แสนเหรียญสหรัฐ และเมื่อใช้ไปถึง 4 แสนเหรียญสหรัฐ สามารถขอจัดสรรเพิ่มเติมได้จนกว่าจะเต็มวงเงินที่ได้รับอนุมัติในแต่ละรายเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ การจัดสรรวงเงินลงทุนในต่างประเทศของสำนักงานในกรณีของกองทุนส่วนบุคคลนั้น จะไม่นับรวมกรณีบุคคลต่างชาติหรือนิติบุคคลต่างชาติที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และกรณีที่นิติบุคคลสามารรถขอวงเงินลงทุนต่างประเทศได้โดยตรงจากธปท. หากประสงค์จะลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนส่วนบุคคล จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติวงเงินจากสำนักงาน
โดยขั้นตอนของการขอวงเงินนั้น ให้บริษัทจัดการยื่นขออนุมัติผ่านระบบควบคุมวงเงินในต่างประเทศของสำนักงาน (ระบบ FIA) ซึ่งการยื่นขออนุมัติวงเงินดังกล่าว จะพิจารณาโดยระบบในลักษณะ real time โดยวงเงินดังกล่าวจะมีอายุ 30 วัน หากไม่มีการแจ้งการใช้วงเงินไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อครบระยะเวลาระบบจะดึงวงเงินคงเหลือคืนทั้งหมดโดยอัติโนมัติ ซึ่งระบบดังกล่าวจะเปิดใช้งานในวันที่ 14 มีนาคมนี้
สำหรับการจัดสรรวงเงินของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานกำหนดให้กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ ต้องขอวงเงินจากสำนักงานก่อน โดยให้บริษัทจัดการยื่นคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุนพร้อมทั้งระบุจำนวนเงินทุนโครงการต่อสำนักงาน ส่วนกองทุนที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศบางส่วน ให้ระบุสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศด้วย และเมื่อสำนักงานอนุมัติกองทุนดังกล่าว จะนำส่งรายชื่อต่อธปท.ต่อไป
โดยหลังจากสำนักงานอนุมัติวงเงินตามที่ขอไปแล้ว บริษัทจัดการต้องเสนอขายหน่วยลงทุนและจดทะเบียนกองทุนรวมภายในระยะเวลา 30 วันหลังจากวันที่ยื่นหนังสือชี้ชวน ซึ่งหากบริษัทจัดการนั้นไม่จดทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนด สำนักงานจะยึดวงเงินคืนทั้งหมด แต่ในกรณีที่จดทะเบียนตามระยะเวลาที่กำหนด ในกรณีที่เป็นกองทุนปิดที่ไม่มีการเสนอขายเพิ่ม ให้บริษัทจัดการคืนวงเงินที่เกินกว่าจำนวนที่ขายได้
ทั้งนี้ สำนักงานจะทำการทบทวนวงเงินดังกล่าวทุกๆ 3 เดือน นับจากเดือนที่รับจดทะเบียน โดยจะพิจารณาวงเงินจากการรายงานยอดคงค้างที่บริษัทจัดการส่งให้ หากยอดคงค้างไม่ถึง 50% ของวงเงินที่ได้รับ สำนักงานจะยึดวงเงินคืนครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ยังไม่ได้นำไปลงทุนต่างประเทศ ณ ขณะนั้น สำหรับกองทุนเดิมที่ได้รับวงเงินไปแล้ว สำนักงานจะยึดคืนครั้งแรก โดยพิจารณาจากยอดคงค้าง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ส่วนการขอวงเงินเพิ่ม กองทุนนั้นต้องมีการลงทุนในต่างประเทศตั้งแต่ 75% ของวงเงินที่ได้รับการจัดสรร
สำหรับกรณีพอร์ตของบริษัทจัดการ สำนักงานกำหนดวงเงินลงทุนในต่างประเทศสูงสุดบริษัทละไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจัดสรรให้ครั้งละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญ และสามารถขอการจัดสรรเพิ่มเติมได้จนกว่าจะเต็มวงเงินเมื่อใช้ไปถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ บริษัทจัดการต้องยื่นขอใช้วงเงินผ่านระบบ FIA ซึ่งสำนักงานจะดึงวงเงินคืนโดยผ่านระบบหากวงเงินที่ได้รับการจัดสรรไม่ได้ถูกใช้ไปภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับการอนุมัติ
สำนักงาน ก.ล.ต. ระบุเพิ่มเติมว่า ให้บริษัทจัดการรายงานการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล โดยรายงานแยกรายกองทุน และของบริษัทจัดการ เพื่อจัดส่งให้ ธปท. และสำนักงานเป็นรายเดือน ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ สำนักงานก.ล.ต. รายงานว่า หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาขยายวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศให้สำนักงาน ก.ล.ต. อีก 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เมื่อรวมกับวงเงินการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่ง ธปท. ได้อนุมัติไว้แล้ว และวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนที่ต่ำกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (เดิม ธปท. เป็นผู้อนุมัติให้ผู้ลงทุนโดยตรง) จะมีวงเงินต่างประเทศไว้จัดสรรรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ กำนหนดให้สำนักงาน จัดสรรวงเงินการลงทุนในรูปแบบต่างๆ และการโอนเงินออกต่างประเทศ ทั้งการลงทุนในกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย บุคคลทั่วไปที่ไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) หรือลงทุนตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไม่กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยในบริษัทต่างประเทศมาจดทะเบียนเพื่อระดมเงินในตลาดหลักทรัพย์ที่ร้อยละ 25 และการสนับสนุนให้ออกตราสารทางการเงินสกุลบาทที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น Transferable Custody Receipt (TCR)
นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้บุคคลธรรมดาสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่าน บล. ในฐานะนายหน้าหรือผู้ค้าได้ โดยให้ลงทุนได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน Regulated Exchange หรือ Sovereign Bond เท่านั้น
|
|
|
|
|