29 ปี ของบีโอไอ ได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนไปแล้วมีมูลค่า 8 หมื่นล้านบาท
เมื่อวัดจากงินลงทุนจดทะเบียน แต่ 3 ปีที่ผ่านมา การลงทุนที่ผ่านการอนุมัติของบีโอไอ
มีมูลค่า มากว่านับตั้งแต่บีโอไอ ก่อตั้งรวมกัน มันเป็นสัญญานทางเศรษฐกิจที่บ่งบอกความสำเร็จของบีโอไอ
ในแง่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็หมายยถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้นในการส่งเสริมนับจากนี้ไป
" บีโอไอไม่ยุบ แต่ต้องปรับบทบาทส่งเสริมลงทุนใหม่" นี่เป็นคำแถลงของชาติชาย
ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน เป็นการยืนยันถึงอนาคตของหน่วยงานแห่งนี้
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า จะมีการยุบบีโอไอ
บีโอไอ ในทศวรรษ 1990มีสัญญานที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเมือ่
29 ปีก่อน
หนึ่ง-กระทรวงการคลังได้เปลี่ยนแปลงอัตราการจัดเก็บภาษีเครื่องจักร เพื่อการผลิตที่อยู่ในพิกัด
84 และ 85 ของภาษีศุลกากร เหลือ5% จากเดิม 35% เมื่อ 8 กันยายน สอง- ทางกระทรวงการคลังกำลังมีแนวโน้มที่จะมีการปรับปรุงอัตราภาษีวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพื่อการผลิตให้เหลือ
5 และ 10% หลังจากได้ประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มทดแทนภาษีการค้าไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงภาษีเหล่านี้ มีผลต่อแนวความคิดในการประเมินบทบาทใหม่ของบีโอไอ
ในการส่งเสริมการลงทุนช่วงจากนี้ไปเนื่องจากเหตุผล หนึ่ง-บีโอไอ ได้ทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย
ที่บรรลุวัตถุประสงค์การพัฒนาเรียบร้อยแล้ว จนอุตสาหกรรมได้พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
" เรามีโครงสร้างอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่แข็งแกร่งเพียงพอในการแข่งขันตลาดโลกนักลงทุน
ของเราโดยการส่งเสริมของบีโอไอ กำลังรวบกระบวนการผลิตที่สามารถลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพวัตถุดิบด้วยการผลิตแบบครบวงจรเช่นการลงทุน
ของกลุ่มไทยรุ่ง อุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมผลิตเส้นใยสงเคราะห์ที่คุณภาพสูง"
แหล่งข่าว ในบริษัทอุตสาหกรรมสิ่งทอ พูดถึงตัวอย่างภารกิจของบีโอไอจากสายตาของผู้ประกอบการ
ย้อนหลังไปเมื่อปี 2497 เมื่อรัฐบาลจอมพลได้ออกกฎฆมายการลง
ทึนเพื่อชวนให้เอกชนมาลงทุนอุตสาหกรรม แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จมีผู้ลงทุนเพียง
3-4 รายเท่านั้น จากจุดนี้ทำให้มีการออกกฏหมายเพือ่ส่งเสริมให้เอกชนมาลงทุนทางอุตสาหกรรม
ด้วยมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ๊และการคุ้มครองอย่างเต็มที่ในปี 2502
บีโอไอเกิดจากจุดนี้!
การเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูงเกือบ 10% ติดต่อกันเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้ไทยซึ่งอยู่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีที่สุดของโลก
เป็นที่สนใจลงทุนกันมากทั้งจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเนื่องจากมีทรัพยากรปัจจัยการผลิตที่ได้เปรียบต่อการแข่งขันในตลาดโลก
เช่นค่าจ้างแรงงานถูกกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ เมื่อวัดจากคุณภาพทัษณะและที่สำคัญกว่านั้นมีความั่นคงทางการเมืองสูง
เหตุนี้คือที่มาของความเชื่อการตัดสินใจลงทุนที่มีแรงผลักดันของการทำงาน
ของกลไกตลาดมาก กว่ามาตรการจูงใจทางภาษีของบีโอไอ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้า 3 ปี ก่อนบีโอไอไม่จูงใจนักลงทุนด้วยผลประโยชน์ด้านภาษ
๊ การลงทุนเมืองไทยก็หนาแน่นเช่นกัน
สอง- อุตสาหกรรมไทย ได้ก้าวพ้นจาการเป็นประเทศที่ได้รับการช่วยหลือด้านสิทธิพิเศษทางภาษี
หรือจีเอสพี จากประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการถูกกีดกันทางการค้าจากประเทศสหรัฐฯ
ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยด้วยเหตุผลการอ้างถึงอุตสาหกรรมไทย หลายประเภท
ได้เปรียบการแข่งขันกว่าผู้ผลิตสหรัฐฯ เนื่องจากการได้รับการอุดหนุนช่วยเหลือทางภาษีจากบีโอไอ
เช่นกรณีการตั้งกำแพงภาษี กีดกันนำเข้าหรือซีวีดี ท่อเหล็กไทยของสหรัฐฯ จากเดิมคิด
6% เพิ่มเป็น 22% ของราคานำเข้าจนท่อเหล็กไทยไม่สามารถเข้าไปแข่งขันในตลาดสหรัฐฯได้อีกต่อไป
การปรับบทบาทใหม่ของบีโอไอ เป็นเรื่องที่ถูกตีคความในทางที่ผิดในช่วงแรก
ๆ ว่าจะมีการยุบหน่วยงานแห่งหนึ่ง แต่หลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีการทักท้วงจากผุ้นำระดับสูงของรัฐบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่ของบีโอไอว่าไม่เป็นเช่นนั้น
"แต่สำหรับผมมันควรถูกยุบไปนานแล้ว" อันมาร์ สยามวาลา ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์ของทีดีอาร์ไอ
เคยกล่าวเช่นนี้ กับ" ผู้จัดการ"
อัมมาร์เป็นผู้นำทางความคิดในการเสนอให้รัฐบาลลดบทบาทบีโอไอลงถึงศูนย์
ภายใต้ปรัชญาส่งเสริมการลงทุนเดิมของบีโอไอ โดยเขาให้เหตุผลว่าปรัชญาการส่งเสริมลงทุนของบีโอไอด้วยมาตรการจูงใจทางภาษี
และการคุ้มครองเป็นการปิดเบือนกลไกตลาดเสรีอย่างรุนแรงที่สุด
เขาชี้ให้เห็นว่า การบิดเบือนกลไกตลาด
ทำให้อุตสาหกรรมไม่มีการแข่งขันที่สร้างประโยชน์ให้แก่การยกระดับประสทธิภาพการผลิตเพือ
่สร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดในการแข่งขันหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นภาพลักษณ์ของสิ่งที่เป็น
อุตสาหกรรมทารกที่เลี้ยงเท่าไรก็ไม่มีวันเติบโตเป็นตัวของตัวเองเช่นอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์
อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนจากเธียรช่วง กัลยาณมิตร ผุ้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ที่มีประสบการณ์ทำงานในสหรัฐมานาน
"อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กว่า 80% นำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ
เข้ามา ผู้ลงทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เข้ามาลงทุนเพื่อหลังผลกำไรได้สิทธิจีเอสพีที่สหรัฐฯ
เปิดให้กับไทยและค่าจ้างแรงงานถูก" เธียรช่วง กัลยารฒิตร ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
กล่าวถึงเหตุผลเข้ามาลงทุนของต่างชาติ
อุตสาหกรรมอิเล็ทรอนิกส์ ที่เกิดขึ้น ไม่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการผลิตชิ้นส่วนในระดับหน่วย
ย่อยเพื่อทดแทนนำเข้าแต่อย่างใด " เราไม่มีซับพอร์ตติ้ง อินดัสตรี เหมือนในไต้หวัน
รายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกปีละ 15,000 ล้านบาท จึงเกิดขึ้นพร้อมกับมูลค่านำเข้าชิ้นส่วนในมูลค่าที่ใหกล้เคียงกัน
จนเหลือรายได้ส่งออกประมาณ 10% เท่านั้น" เธียร ช่วง ชี้ให้เห็นความล้มเหลวจากการส่งเสริม
นอกจากนี้ การที่บีโอไอ ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ประหนึ่งเสมือนเป็นการแสดงตน
"เป็นคุณพ่อที่ดี" ที่มีความลำเอียงเข้าไปแทรกเซงการทำงานของกลไกตลาดโดยสนับสนุนผุ้ผลิตบางราย
ก็เป็นบทบาทอีกด้านหนึ่งที่ส่งผลของการทรัพยากรเพื่อการลงทุน ไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับการส่งเสริมของประสิทธิภาพตลาด
ตัวอย่างของความข้อนี้ได้จากอุตสาหกรรมผลิตปูนซิเมนต์และกระจก ที่ได้รับการคุ้มครองของการลงทุนผู้ให้เป็นผลิตผูกขาดเป็นเวลานานหลายปี
ปูนนั้นมีการผลิตและอำนาจการควบคุมตลาดอยู่ในมือปูนซิเมนต์ไทยรายเดียว
แม้อุตสาหกรรมนี้จะมีผู้ผลิตไทยมากว่า หนึ่งรายก็ตาม เหมือนกับกระจกอาซาฮี
กับศรีเฟื่องฟู มีอำนาจควบคุมได้สิ้นเชิง
แต่อุตสาหกรรมปูนเป็นตัวอย่างคลาสิกที่ชัดแจ้งที่สุด ที่ส่งผลต่อการปิดเบือนกลไกตลาดจนก่อให้เกิดการขาดแคลน
ราคาพุ่งสูกว่าควาามเป็นจริงปูนซิเมนต์ มีผู้ผลิตเพียง 3 ราย คือปูนซิเมนต์ไทย
มีกำลังรวมทั้งตลาดส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นของปูนนครหลวงและชลประทานซิเมนต์
การเติบโต ของภาคการก่อสร้างเอกชนและรัฐบาลติดต่อกัน 2 ปีที่ผ่านมาและอีก2
ปีข้างหน้าทำให้ความต้องการใช้ปูนสูงจนก้าวล้ำปริมาณการผลิตจนเห็นได้จาการพุ่งสูงของราคาปูน
"ถ้าไม่มีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามา ตลาดจะประสบปัญหาขาดปูนขาดประมาณปีละ
2 ล้านตันในปี 2535 แม้จะมีการขยายจากกระทรวงพาณิชย์พยากรณ์จากสมมุติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจอัตราปีละ
9.5-10%
ความต้องการปูนใน 2 ปีข้างหน้า จะตกราว 26 ล้านตัน ขณะที่การผลิตจะอยุ่ในระดับ
22 ล้านตัน แต่เมื่อรวมการขยายการผลิตของโรงเก่าและโรงใหม่ ของทีพีไอ จะอยู่ในระดับสนองความต้องการได้พอดี
การลงทุนผลิตปูนต้องใช้เวลาเตรียมอย่างน้อย 2 ปี กว่าจะผลิตได้เนื่องจากหัวใจสำคัญการลงทุนอยู่ที่ปัจจัยความพร้อมอย่างน้อย
2 ประการ คือ หนึ่งด้านวัตถุดิบซึ่งต้องมีแหล่งที่อยู่ใกล้โรงงานมากที่สุด
และนับวันแหล่งวัตถุดิบจะหายาก เนื่องจากผู้ผลิตรายเดิมได้ครอบครองกรรมสิทธิ์สัมปทานเอาไว้มาก
และสอง เงินลงทุนที่สูงนับพันบ้านบาท
ทวี บุตรสุนทร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการปูนใหญ่ซิเมนต์ไทยไทยเคยกล่าวว่า
เทคโนโลยีการผลิตปูนไม่ได้ซับซ้อนอะไร ผู้ผลิตหน้าใหม่สามารถหาซื้อและพัฒนาเองได้
แต่หน้าใหม่สามารถหาซื้อและพัฒนาเองได้แต่หน้าใหม่จะเสียเปรียบการประหยัดจากขนาด
เนื่องจาการลงทุนต้องใช้เงินลงทุนไม่ตำก่ว่า 2,000 ล้านบาท และถ้ามีกำลังการผลิตในเชิงพาณิชย์ต่ำปีละ
400,000 ตัน ไม่คุ้มต่อการลงทุนแน่นอน
กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมไทยปิโตรเลียมเคมิล หรื อทีพีไอ ของ เลี่ยวไรัตน์"
มีควมพร้อมในปัจจัยการลงทุถนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนและแหล่งวัตถุดิบ
โดยเฉพาะแหล่งวัตถุดิบที่ สระบุรี เป็นส่วนสำคัญของทีพีไอมาตั้งแต่รุ่นพ่อ
( พร เลี่ยวไพรัตน์) ที่ก่อร่างสร้างตัวจาการเป็นพ่อค้า โรงสีปากเพรียว คนสระบุรีรู้และยอมรับความยิ่งใหญ่ของกลุ่มเลี่ยวไพรัตน์มานานแล้ว"
พ่อค้าแถวตำบลหน้าพระลานจังหวัดสระบุรี กล่าวถึงสถานะของพวกเลี่ยไพรัตน์
จากสายตาของคนสระบุรีให้ " ผู้จัดการ" ฟัง
เหตุนี้ทีพีไอ จึงได้เข้ามาลงทุนเป็นรายที่ 4 ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพือ่ผลิตปูนปีละ
2 ล้าน ตันในปี 2535 โดยไม่ขอเสริมจากบีโอไอเลย โดยคาดหมายควมต้องการตลาดในปี
2535 เป็นต้นไปภายใต้สมมุตฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราปีละ 9.5-10% การผลิตจะสามารถสนองความต้องการตลาดได้สมดุล
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนของเลี่ยวไพรัตน์ ในปูนซิเมนต์ ก็ไม่แรงจูงใจจากเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ล้วน
ๆ
" พวกเลี่ยวไพรัตน์หมั่นไส้ความใหญ่ของปูนมานานแล้ว เขาต้องการพิสูจน์ให้ปูนรู้ว่าเมือ่ปูนเข้าไปในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้านพลาสติด
เพื่อแข่งกับเขาได้ เขาก็เข้าไปในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์โดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือของบีโอไอ
เพื่อแข่งกับปูนได้เหมือนกัน"แหล่งข่าวรายเดิมให้ข้อสังเกตุเหตุผลการลงทุนเชิงพฤติกรรมของ
พวกเลี่ยวไพรัตน์
การเข้ามาลงทุนในปูนซิเมนต์ของเลี่ยวไพรัตน์โดยไม่ต้องอาศัยการส่งเสริมจากบีโอไอ
เป็นสัญญานจากรูปธรรมที่บ่งบอกถึงบทบาทความศักดิ์สิทธิ์ของบีโอไอในการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุนได้หมดไปแล้ว
ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าปัจจัยการตัดสินใจลงทุนที่สำคัญที่สุดก็คือกลไกตลาดมีเงื่อนไขเปิดให้นักลงทุนสามารถเข้าไปแข่งขันได้หรือไม่ต่างหาก
พ้นจากนี้แล้ว ก็เป็นเหตุผลส่วนตัวด้านศักดิ์ศรีเสียมากกว่า
กรณีกระจกก็เป็นอีกตัวอย่างหนึงเช่นกันที่ได้รับการคุ้มครองจากบีโอไอ ให้มีผู้ผลิตน้อยรายในตลาดจนสิทธิประโยชน์นี้ชักนำเข้าไปสู่การโต้แย้งหาทางการค้าและการลงทุนอุตสาหกรรมไทยกับสหรัฐฯ
อุตสาหกรรมกระจกเติบโตเร็วมาก ช่วง 3 ปีมานี้เหมือนปูนเนื่องจาการเติบโตของอุตสาหกรรมที่อยุ่อาศัยและสำนักงาน
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมกระจกมีผู้ผลิตทีได้รับการส่งเสิรมและคุ้มครองอุตสาหกรรมบีโอไอเพียง
3 ราย คือ ไทย-อาซาฮี กระจกสยาม และบางกอกโฟลทกล๊าส
จากการผูกขาดของไทย-อาซาฮี มายาวนานในตลาดมาสะดุดเอาเมื่อการ์เดี้ยนและปูนซิเมนต์ไทย
ได้ร่วมกันขอส่งเสริมจากบีโอไอเพือ่ผลิตกระจกโฟลทส่งออกประมาณ 80% เหมือนบางกอกโฟลทของไทย-อาซาฮี
แต่ถูกไทยขอาซาฮี ต่อต้านอย่างหนัก ด้วยเหตุผลจะทำให้มีการผลิตล้นเกินในตลาด
เรื่องนี้ถูกหยิบยกเป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ นำเข้ามาสู่การพิจารณาใช้มาตรา
301 ต่อไทยด้วยเหตุผลการอ้างถึงการลาออกถึงการลำเอียงของรัฐบาลไทยในการเลือกปฏิบัติต่อนักลง
ทุนอเมริกัน
กรณีนี้จบลงที่ประมาณ อดิเรกสาร รมต.อุตสาหกรรม และกร ทัพพะรังสี รมต.สำนักนายกฯ
ในฐานะผู้ดูแลสายงานบีโอไอ ยอมเปิดประตูการลงทุนกระจก ของการ์เดี้ยน พร้อมให้บีโอไอ
ส่งเสริมในปี 2538 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
การวิจารณ์บทบาทส่งเสริมด้วยมาตรการทางภาษีและการคุ้มครองของบีโอไอเป็นเรื่องที่
่เกี่ยวโยงกับการเชื่าการทำงานของกลไกตลาดเสรี
พวกนี้เชื่อว่านักลงทุนอุตสาหกรรมทุกคนมีวิจารณญาน ของตัวเอง ที่รู้ว่าควรจะลงทุนอะไรดี
และเมื่อไร " คงไม่มีนักลงทุนที่ไหนโง่พอที่จะเอาเงินนับร้อยล้านมาทิ้งเล่นทั้งที่รู้ว่าในตลาดไม่มีที่ว่าง
สำหรับผู้มาทีหลัง" นักเศรษฐศาสตร์จากธรรมศาสตร์กล่าวโต้การคุ้มครองให้ผู้ผลิตที่ได้รับการส่งเสริม
รายเดียวของบีโอไอในโครงการผลิตเหล็กรีดร้อนรัดเย็นของกลุ่มสหวิริยา เมือถูก
" ผู้จัดการ" ถามกรณีการส่งเสริมของบีโอไอในโครงการนี้ ซึ่งเป็นบทบาทไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
การลงทุนที่เกิดขึ้นจึงอยู่ที่ความพร้อมในปัจจัยสภาพแวดล้อมการลงทุนซึ่ง
ประกอบด้วยการมีทรัพยากรวัตถุดิบ สาธารณูปโภค ที่พร้อมมีความมั่นคงทางการเมือง
มีแรงงานทักษะ และที่สำคัญมีผลตอบแทนจาการลงทุนสูง
มองในแง่นี้บริษัทัทต่างชาติรายใหญ่ทีมีความสามารถลงทุนทั่วโลกมีทางเลือก
แหล่งลงทุนมาก ที่ให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนสูงที่สุด
ว่ากันว่า บริษัทอเมริกันมีมาตรฐานผลตอบแทนการลงทุนที่ 40% ขณะที่บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของไทยอย่างปูนซิเมนต์ไทยอยู่ที่อัคราดอกเบี้ย
เอ็มโออาร์บวก 4% ซึ่งในปัจจุบันตกราว ๆ 21%
มองในแง่นี้ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำบทบาทที่ไม่จำเป็นของบีโอไอ เพระถึงแม้จะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของบีโอไอ
แต่ถ้าบรรยากาศการลงทุนไม่ดี ผลตอบแทนต่ำ การลงทุนก็ไม่เกิดขึ้น
แนวคิดเกี่ยวโยงถึงการมองบทบาทของบีโอไอในการกระจายอุตสาหกรรมสู่ต่าง
จังหวัด ด้วยบีโอไอถูกมองว่าใช้มาตรการภาษีเป็นความพยายามที่ไม่เกิดผล เนื่องจากปัจจัยการลงทุนในต่างจังหวัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้บีโอไอหรือไม่
แต่อยุ่ที่ความเหมาะสมของกลไกตลาดที่มีความพร้อมรองรับการลงทุนมากกว่า
สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย นักเศรษฐศาสตร์ อุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้ชี้ว่า การลงทุนที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัดเป็นนักลงทุนขนาดเล็ก และกลางที่ไม่ได้บีโอไอ
หรือแม้แต่นักลงทุนขนาดใหญ่การลงทุนมาจากเหตุผลการอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบและความ
สะดวกในสาธารณูปโภค เรื่องประสทธิประโยชน์จากบีโอไอ เป็นเรื่องรอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การลงทุนในต่างจังหวัด สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ เป็นเหมือนของแถมมากว่าเข้าทำนองได้มาก็ดี
ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ดังที่กลุ่มเลี่ยวไพรัตน์ได้แสดงให้เห็นแล้ว ในการลงทุนผลิตปูนที่สระบุรี
แม้บีโอไอ จะถูกมองว่า เป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมการลงทุนด้วยมาตรการทางภาษีที่น่าจะหมดภาระกิจทางประวัติศาสตร์ได้แล้ว
แต่ทางบีโอไอเองกลับมองในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยความเชื่อที่ว่าบทบาทบีโอไอยังมีประโยชน์ในการส่งเสริมลงทุนอยู่
แต่ก็ไม่มีข้อมูลที่ดีเพียงพอมาสนับสนุน จึงได้จ้างนักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากทีดี-อาร์ไอ
มาวิจัยประเมินผลงานว่าไๆด้ทำประโยชน์ให้ระบบเศรษฐกิจของชาติดย่างไรบ้าง
" งานนี้บีโอไอ ต้องการเอาไว้เป็นข้อมูลโต้กระแสความคิด ที่จะดิสเครดิตบีโอไอ
โดยเฉพาะ" แหล่งข่าว ใกล้ชิดในบีดอไป เล่าให้ฟัง
ความจริงบีโอไอ ไม่ถึงโดดเดี่ยวเสียทีเดียว มีนักลงทุนในบางอุตสาหกรรมก็ยังว่าบทบาทด้านภาพของบีดอไอ
ยังมีความำจตเป็นอยุ๋ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมผลิตเหล็กเส้นเตาหลอม ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมผลิตเหล้กที่เน้นเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติ
เนื่องจากมีสัดส่วนการลงทุนสูงถึง 60% ของเงินลงทถุนทั้งหมด โครงการ "เอ็นทีเอสสตีล
ลงทุนเหล็กเส้นเตาหลอม 4,500 ล้านเแฑาะค่าเครื่องจักรบางอย่างปาเข้าไป 2,780
ล้านบาท" ชำนิ จันทร์ฉาย กรรมการบริหารของเอ็นทีเอสตีล เล่าให้ฟังถึงการลงทุนเหล็กเส้นเตาหลอม
การได้ยกเว้นภาษีเครื่องจักรจากส่งเสริมของบีโอไอ จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายการลงทุนประมาณ
150 ล้านบาท และถ้าได้หย่อนภาษีการค้า 5.5% จาก 15% ของราคาขายที่วัดจาการผลิตเดือนละ
25,000 ตัน ก็จะประหยัดลงได้อีก 15-16 ล้านต่อเดือน หรือปีละเกือบ 200 ล้านบาท
รวมแล้วผลประโยชน์ของผู้ลงทุนจะได้รับการช่วยเหลือจากบีโอไอในรูปภาษีที่ก่อผลทำให้ประหยัดลงได้อีก
15-16 ล้านต่อเดือน หรือปีละ เกือบ 200 ล้านบาท
รวมแล้วผลประธยชน์ของผู้ลงทุนจะได้รับการช่วยเหลือจากบีโอไอ ในรูปการที่ก่อผลทำให้ประหยัดลงได้ในปีแรก
ของการผลิตถึงเกือบ 350 ล้านจากเงินลงทุน 4, 500 ล้านหรือเกือบ 10%
"ถ้าโครงการนี้ไม่ได้บีดอไอ ผมว่ายาก เนื่องจากระยะเวลาคืนทุนจะยิ่งยาวออกไปเกิน
5 ปี ซึ่งมันสุ่มเสี่ยงเกินไป " ชำนะ ให้เหตุผลถึงประโยชน์การส่วเสริมของบีโอไอ
เหล็กเส้นเตาหลอมเป็นการผลิตเหล็กเส้นคุณภาพสูง ที่ทดแทนการนำเข้าปีละ
นับ 1,000 ล้านบาท ที่สำคัญกว่านั้น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ยังสามารถนำมาผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กได้ทุกชนิด
แม้กระทั่งตะปูที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถผลิตได้คุณภาพมาตรฐานสากล"
แล้วบีโอไอ ควรมีการปลี่ยนแปลงอย่างไร ให้เหมาะสมต่อขีดขั้นการพัฒนาของอุตสาหกรรมไทยที่พัฒนาจากเมื่อ
10 ปีก่อนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
ชำนิ ให้ความเห็นจากแง่มุมของนักลงทุน ว่า บีโอไอ ควรเน้นหนักบทบาทการเป็นผู้ขายการลงทุนในประเทศไทยเหมือนบีโอไอของออสเตรเลีย
"การขายต้องไม่ใช้สักแต่ว่าขาย แต่ต้องสามารถเป็นที่ปรึกษาการลงทุนได้ด้วย
เช่นการให้บริการรข้อมุลที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้ลงทุนและอำนวยความสะดวกประสานงานหน่วยราชการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องการลงทุน เช่นกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงต่างประเทศด้านการออกใบอนุญาตทำงาน"
ชำนิยกตัวอย่างบทบาทใหม่ของบีโอไอ
ความจริงบีโอไอ มีความพร้อมพอสมควร ที่จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษการลงทุนที่ดี
เครือข่ายสำนักงานในนิวยอร์ก โตเกียว และแฟงเฟิร์ต ศูนย์บริการลงทุนวันสต้อปเซอร์วิส
ที่มีหน้าที่ชัดเจนในการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยราชการอื่น
ๆ เช่นการขอใบอนุญาตการทำงาน
กล่าวอีกนัยหนึ่งบีโอไอมีโครงสร้างของการเป็นหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาการลงทุนที่บริการครบวงจรเหมือนกับหน่วยงานของเอกชน
ที่ทำธุรกิจให้บริการปรึกษาการลงทุนที่มีอยู่มากมายเวลานี้
แต่การที่บีโอไอไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการให้บริการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่ดีได้นั้น
มีสาเหตุหลายอย่าง อย่างหนึ่งมาจากไม่สนใจเนื่องจาก 3 ปีที่ผ่านมา บีโอไอ
สนุกสนานอยู่กับการพิจารณาโครงสร้างลงทุนเพื่อการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเดียว
เพราะว่า โครงการขอส่งเสริมลงทุนมันเข้ามามากว่าทุกปีที่ผ่านมา จนด้านด้านข้อมูลเพื่อนักลงทุนได้ถูกละเลยไปดังที่โอซามุ
ยาซูดะ ผุ้ช่วยอธิบดีจากสถาบันวิจัยและวางแผนเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้วิจารณ์ว่า
ข้อมูลปัจจุบันของบีโอไอยังไม่ละเอียดเพียงพอต่อการช่วยตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นได้
เขายกตัวอย่างว่าในอุตสาหกรรมแต่ละประเภทนักลงทุนญี่ปุ้นต้องการรู้ว่า ผู้ลงทุนมีใครบ้าง
ผลิตสินค้าอะไรและกำลังผลิตแต่ละรายเท่าไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญมาก
แต่บีโอไอไม่มีข้อมูลเหล่านี้" เรายอมรับว่ายังทำข้อมูลได้ไม่ดีพอ"
ชีระ ภาณุพงศ์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวยอมรับข้อวิจารณ์นั้น
เวลาช่วงที่ดีที่สุด ที่บีโอไอ ต้องหันมาทำงานปรับปรุงด้านข้อมูลเพื่อนักลงทุนอย่างจริงจัง
เพราะว่าโครงการที่ขอส่งเสริมมาน้อยลง ตามภาวะถดถอยเศรษฐกิจที่เป็นทั่วโลก
ซึ่งทำให้บีโอไอมีเวลามากขึ้นกับสิ่งนี้
นักลงทุนทั่วไป ไม่ได้คาดหวังการทำหน้าที่ปรึกษาของบีโอไอมากไปกว่านี้
แม้ความต้องการที่แท้จริงจะก้าวล้ำไปถึงการให้บีโอไอเป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพสูงในการอำนวยความสะดวก
ในการพิจารณาขออนุญาตลงทุนให้เร็วขึ้นจากเดิม ที่ต้องใช้เวลาไม่น้อบยกว่า
3 เดือนก็ตาม แต่พวกเขาก็ทราบดีถึงความเป็นหน่วยงานราชการไทยที่มีระเบียบข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
บีโอไอมาถึงจุดของการเป็นหน่วยงานที่จะต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการลงทุนอย่างจริงจังแล้วในอนาคตอันใกล้นี้
ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ดึงเอาหน่วยงานนี้ออกจากวงจรรถูกมองว่าเป็นหน่วยงานที่แสวงหาผลประโยชน์จากนักลงทุนออกไปด้วย
ปัญหามีเพียงว่าภาระกิจใหม่นี้บีโอไอจะสามารถสนองความต้องการนัก
ลงทุนได้ดีเพียงไร ภายใต้โครงสร้างระบบราชการไทย