Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2534
รถยนต์ปี'34 วิ่งไม่ติดเบรก             
โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
 

 
Charts & Figures

กำลังผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย
อัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์
กำลังผลิตและยอดขายรถยนต์ในรอบ 10 ปี
ยอดขายแยกตามประเภทรถยนต์ (ตั้งแต่ปี 2530-2533)


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
Toyota (Thailand) Homepage
โฮมเพจ บริษัท สยามกลการ จำกัด

   
search resources

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย, บจก.
สยามกลการ, บจก.
เอ็มเอ็มซี สิทธิผล
ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย), บจก.
Vehicle




ครึ่งปีแรกของบรรดายักษ์ใหญ่ยักษ์เล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้านิสสัน ฮอนด้า หรือแม้กระทั่งรถค่ายยุโรป เช่น วอลโว่ หรือบีเอ็มดับเบิลบลิว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวเดียวกันว่า ไม่กระทบกระเทือนจากภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจ สืบเนื่องจากปีทองของยอดขายรถยนต์ดีมาตลอดสามปี แต่ครึ่งปีหลังของปีนี้ ยังเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง ตราบใดที่ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อยังสูงไม่หยุดเช่นนี้!!

อุตสาหกรรม รถยนต์ก้าวเข้าสู่ปีทองตั้งแต่ปี 2531-2533 โดยสถานการณ์การขยายตัวของตลาดรถยนต์ภายในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 40% เมื่ปี 2531-2532 ทำให้หลายบริษัทได้เพิ่มทุนและขยายกำลังผลิตกันมาก

ความฝันได้กลายเป็นจริงเมื่อยอดขายรวมทั้งปีของบริษัทรถยนต์ใหญ่พุ่งขึ้นหลักไม่ต่ำกว่า 250,308 ล้านบาท ในปี 2533 ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนรถญี่ปุ่นมากกว่ารถยุโรปโดยเฉพาะบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ตั้งมานาน 33 ปี มีสถิติยอดขายสูงเป็นประวัติการณ์

ปี 2533 คาดว่ารายได้ของบริษัทโตโยต้า ต้องไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท หลังจากเมื่อปี 2532 บายได้มากถึง 18,863 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายรถ ส่วนรายได้อื่น ก็มาจากการขายน้ำมันเครื่องซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มมากกว่าปีที่แล้วถึง 68% ชายอะไหล่ และบริการ แ

ละการส่งออกซึ่งโตโยต้าได้ทำตั้งแต่ปี 2529 ส่งออกเครื่องยนต์ดีเซลและอุปกรณ์ไฟฟ้าไปต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมา โตโยต้า ทำรายได้เพิ่มขึ้นนถึง 56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 453%

"จากากรทีไม่สามารถขึ้นราคาได้นั้น แม้ว่า ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นถึง 37% ก็ตาม แต่ก็มีผลทำใให้กำไรเบื้องต้นเพิ่มขึ้นจากงวดที่แล้วเพียง 23% (261ล้านบาท) รวมเป็นกำไรเบื้องต้นที่ดตโยต้าทำได้คือ 1,388 ล้านบาท" ประธานบริษัทโตโยต้า วาย นัมบุ แถลงไว้ในการประชุมใหญ่ของบริษัท

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา โตโยต้า ยังมีสภาพคล่องจากรายได้ทางอื่น เช่นรายได้จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ตลอดจนรายได้จาการขายที่ดินและทรัพย์สินที่ตั้งเดิมของบริษัทที่ถนนสุริวงศ์ ทำให้เกิดรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานเป็นเงินถึง 323 ล้านบาททีเดียว

ปีทองของอุตสาหกรรมรถยนต์ ได้ส่งผลดีให้เกิดกับบรษัทสยามกลการเช่นกัน หลังจากในปี 2528 -29 เคยประาสบมรสุมทางเศรษฐกิจทางการเงินอย่างหนักจากวิกฤตการณ์ลดค่าเงินบาท จาากบทเรียนนี้ได้ทำให้สยามกลการปรับตัวด้วยการเปิดช่องให้บริษัทนิสสันมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาถือหุ้น 25% ด้วยเงนิทุน 1,500 ล้านบาท ในโรงงานประกอบรถสองแห่ง คือบริษัทสยามอุตสาหกรรมรถยนต์ และบริษัทสยามกลการและนิสสัน เพื่อตั้งเป็นศูนย์การผลิตและส่งออกนิสสันในภูมิภาคนี้ ตามเป้าหมายคือการส่งออกด้วยกำลังการผลิต 10,000 คันต่อเดือน

" ทางนิสสัน ญี่ปุ่นเขามองว่าตลาดในไทยโตสม่ำเสมอ และถ้าจะเป็นนโยบาย Globalization จริง ๆ ก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาล เราจึงให้ทางนิสสันญี่ปุ่นมาลงทุนด้วยในบริษัทผลิต เพราะชิ้นส่วนบางชิ้นหรือรถบางรุ่น ที่จะขายในภูมิภาคนี้ จะผลิตในไทย แผนนี้อยู่ในกลยุทธ์ของนิสสันญี่ปุ่นแล้ว" กวี วสุวัต รองกรรมการผู้จัดการอาวุดสของสยามกลการกล่าใหฟัง

ปีที่แลห้ว สยามกลการ มีายได้จากากรจำหน่ายรถึง 9,041 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 376 ล้านบาท โดยยังมีภาระผูกพันกับแบงก์ในการค้ำประกันเงินจำนวน 339.9 ล้านบาท และ 91 ล้านบาท ในสิ้นปี

ถึงแม้ว่ายอดรวมการขายรถทุกประเภทของบริษัทรถยนต์ปีที่ผ่านมานี้ จะมีสถิติสูงมากๆ แต่เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ ในการผลิตจึงทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ลดลงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถปิกอัพ, รถตู้, รถ 6 ล้อ 10 ล้อ ซึ่งปีที่แล้วขายได้มากที่สุดถึง 240,000 คน

ปัจจุบันมีโรงงานประกอบรถยนต์ทั้งสิ้น 12 แห่ง เป็นโรงงานปีะกอบรถยนต์นั่งอย่างเดียว 4 โรง รถบรรทุกอย่างเดียว 3 โรง ส่วนที่เหลือ 5 โรงาน ผลิตทั้งรถยนต์และรถบรรทุกโดยปี 2533 ความต้องการรถยนต์ในประเทศขยายตัวสูงมาก ๆ มีการผลิตรวมเกือบถึง 300,000 คัน

เพื่อสนองตอบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเงินการลงทุน ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทางการได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขระเบียบการเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทเงินทุน ซึ่งเป้นตลาดเช่าซื้อที่ใหญ่และกำไรงามที่สุดแก่ผุ้ประกอบกิจการดดยให้ลดเงินดาวน์จาก 30 เหลือ 25% และผ่อนชำระได้ยาวขึ้นจาก 42 งวด เป็น 48 งวด ซึ่งมีผลใช้ตั้งแต่กลางปี 2532 และเพิ่งปรับดอกเบี้ยเงินกู้เช่าซื้อเป็น Flat rate ขึ้นอีกเป็น 12-15% สำหรับรถเก่าและรถใหม่ ในปีนี้

" ถ้าหากว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วไป ขึ้นไปอีก เราก็ต้องปรับขึ้นตามไป ขณะนี้ เราก็ชะลอการให้สินเชื่อรถบรรทุกใหญ่ เพราะว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้มการขยายตัวลดลง" กริช สุวรรณเทศ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อและการตลาดเช่าซื้อรถยนต์ของบงล. ศรีมิตร ปีที่แล้ว ทำรายได้สูงที่สุดถึง 6 พันล้านบาท"

กระนั้นก็ตาม ความต้องการรถยนต์คงมีอยู่สูง ทำให้ผลิตไม่พอเพียงเพราะความขาดแคลนชิ้นส่วนอุปกรณ์แม้ว่าปีก่อนผู้ผลิตส่วนใหญ่ได้ขยายกำลังผลิตแล้วเช่นโตโยต้า ตั้งโรงงานประกอบ รถยนต์แห่งที่สามขึ้นเพิ่มกำลังผลิตปีละ 70,000 คันสำหรับรถยนต์นั่งโคโรล่า โคโรน่าคราวน์ สตาร์เลท ปิกอัพ ไฮลักซ์

ส่วนมิตซูบิชิ โดยบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล ร่วมทุนกับบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ก็ได้เพิ่มทุนบริษัทจาก 50 ล้านบาทเป็น 200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2532 เพือ่ตั้งดรงงานประกอบโรงที่สองที่ต้องใช้เงินทุน 300 ล้านยบาท และเมื่อสร้างเสร็จแล้วบริษัทสามารถประกอบรถยนต์ได้เพิ่มเป็น 27,600 8yo9jvxu

งานนี้ผู้บริหารเอ็มเอ็มซี สิทธิผล ต้องกู้เงินเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจเป้นเงินไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2532 โดยแยก เป็นเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากแบงก์พาณิชย์ 8 แห่งในประเทศ 248 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นจากบริษัทเงินทุน30 ล้านบาท หนี้สินหมุนเวียนจากเงินค้ำประกันตั้งสำรองประกันคุณภาพรถที่ส่งไปขายต่างประเทศฯและอื่น ๆ รวม 554 กว่าล้านบาท

นอกจากนี้ ภาระผูกพันที่ให้แบงก์ออกหนังสือค้ำประกันอีก 113 ล้านบาท และแอลซี หรือเลตเตอร์ ออฟเครดิต ที่ยังใช้ไม่หมด เมื่อปลายปี 2532 จำนวน 12.9 ล้านบาท ก้ยังเแสงถึงสถานการณ์สู้รบทางการขายรถมิตซูบิชิ ในปี 2532 ยังไม่ดีเท่าที่ควร

แต่ในช่วงปี 33 นี้มิตซูบิชิ ได้ตีตื้นขึ้นมาในรถปิคอัพ เพราะอาศัยช่อว่างที่คู่แข่งไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการของลูกค้าได้ จึงทำให้มิตซูบิชิช่วงชิงความได้เปรียบนี้ไป ตลอดจนการออกรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีการตกแต่งโฉมและประสิทธิภาพใหม่ ได้กอบกู้ภาพพจน์ที่เสียไปเนื่องจากรุ่นแชมป์ด้วย

ข้อจำกัดทางการผิลตรถยนต์ไม่พอต่อความต้องการของตลาด ดังกล่าว ก่อให้เกิดปัญหาการเก็งกำไรในตลาดรถยนต์นั่งขึ้นเมือปี 2531*2532 ด้วยการขายใบจองที่หวังกำไรสูง ถึงคันละ 2-3 หมื่นบาท เช่นกรณีของรถฮอนด้าที่เกิดเรื่องราวใหญ่โตจนกระทั่งผู้รับผิดชอบด้านนี้ต้องขอลาออก

บริษัทอฮานด้า คาร์ส์ ( ประเทศไทย) ได้ก่อเข้ามารุกตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่โตดยต้าครองอยูท ในฐานะเจ้าตลาด จากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ส่งผลให้รายได้ของฮอนด้าคาร์ พุ่งพรวดจากปี 1987 ขายได้ 375 ล้านบาท เป็น 6,590.6 ล้านบาทในปี 2532

ในปีที่มา ฮอนด้า ได้เปลี่ยนแปลงวงเงินเครดิต 50 ล้านบาท ที่มีอยู่แบงก์ไทยพาณิชย์สำนังานใหญ่ ซึ่งเดิมแยกเป็นวงเงินเบิกเกินบัญชี 5 ล้านบาท และเงินกู้ระยะสั้น โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน 50 ล้านบาท ได้เปลี่ยนเป็นเพิ่มวงเงินโอดี เป็น 10 ล้านบาท และเงินกู้ระยะสั้นเป็น 45 ล้านบาท เพือ่ให้เกิดความคล่องตัวในกรใช้วงเงินดังกล่าว

ด้านนโยบายการผลิต ทางผู้บริหารฮอนด้า คาร์ส์ นอกจากจ้างทางบริษัทบางชัน เยนเนอเรล แอสแซมบลี ซึ่งฮอนด้าถือหุ้นอยู่ 34% ด้วยเป็นโรงงานประกอบรถยนต์

ให้ยังเห็นความจำเป็นต้องให้สาขาในเมืองไทยทำหน้าที่ตั้งโรงงานเป็นศุนย์การผลิตรวมศูนย์การขาาย และรับผิดชอบด้านศูนย์การบริการ ดังนั้นเมือ่ปลายปีที่ผ่านมา ผู้บริหารฮอนด้าจึงเข้าประมูลโรงงานกรรณสูต เยเนอรัล แอส เซ็มบลี จากกรมบังคับคดี ด้วยมูลค่า 372 ล้านบาท ที่เฉือดเฉือนคู่แข่งคือเรโนลต์ ซึ่งหมดสัญญาว่จ้างกับบริษัทไทยบริติช แอสแซมบลีย์ ประกอบรถให้ตั้งแต่ปี 2532 ดังนั้นเรโรลต์ ซึ่งหมดสัญญาว่าจ้างกับริษัทไย-สวีดิช แอสเซมบลีย์ ประกอบรถให้ตั้งแต่ปี 2532 ดังนั้นเรโนลย์จึงพยายามที่จะมี โรงงานประกอบรถยนต์ของตัวเองให้ได้แต่ก็ต้องมาพ่ายแพ้แก่ฮอนด้าในงานประมูล

คราวนั้น

ฮอนด้าได้วางแผนจะใช้โรงงานกรรณสูต นี้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เช่นประตู ฝากระโปรงรถ และบังโคลนป้อนแก่โรงงาน บางชันเยนเนอเรล แอสแซมบลี และลดการนำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งกว่าจะดำเนินการผลิตได้ก็ราวกลางปีนี้ และจะทำให้ฮอนด้ามีความได้เปรียบด้านต้นทุนในเชิงการแข่งขชันทางการตลาดมากขึ้น

"อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนถ้ามองตลาดฮอนด้าในบ้านเราผลิตปีละ 12,000 คัน จำนวนมันน้อยมาก ถ้าหากต่อไปคิดหาช่องทางแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนร่วมกันระหว่างประเทศในแถบเอเชี่ยได้ก็จะดี" แหล่งข่าวเล่าให้ฟัง

เป็นที่วิพากษ์วิจารร์ กันว่าเพดานราคาขายรถยนต์ ที่ถูกควบคุมไว้โดยกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่สมัยสุบิน ปิ่นขยัน เป้นรัฐมนตรีว่าการ อาจจะได้เปลี่ยนแปลงไปสุ่การปรับราคาขายขึ้นได้ในปีนี้

เนื่องจากผุ้ผลิตรถยนต์เกือบทุกยี่ห้อได้อ้างเหตุผลถึงต้นทุนการซื้อชิ้นส่วนซีเคดี(completely knocked-down) จากต่างประเทศ โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8 % เนื่องจาการเปลี่ยนแปลบงในอัตราแลกเปลี่ยน และการเพิ่มราาชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศทางการกำหนดให้ใช้ 54% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายมากขึ้นอีกประมาณ 3.5% ของตลาดการเงิน

"ปัญหาของราคารถยนต์ดูเหมือนจะอยู่ที่ค่าซีเคดี ซึ่งเป้นที่ยอมรับว่า หากซีเคดี จากต่างประเทศแพงขึ้นอีกเท่าตัว ราคารถจะแพงขึ้น 3.5 เท่า ดังนั้นหากลดค่าซีเคดี ไปก็ลจะลดราคาจำหน่ายได้มาก" สุบิน ปิ่นขยัน เคยพุดไว้สมัยเป็นรมว.พาณิชย์

อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการพัฒนายานยนต์ไทยที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ราคารถยนต์เมืองไทยก็นับว่าแพงมาก และปริมาณการผลิตก็ยังไม่พอกับควมต้องการด้วย เพราะผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศทำไม่ทันความต้องการและส่งออกไปต่างประเทศด้วย เนื่องจากกำไรได้ดีกว่า กอ่ให้เกิดปัญหาขาดแตคลนซ็อีก

จากจุดนี้ นโยบายเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์ขนาดต่ำกว่า 2,300 ซีซี ก็เกิดขึ้นด้วยเจตนาที่จะเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ เพือ่ให้ประโยชน์ผู้บริโภคและให้ผู้ผลิตปรับปรุงประสิทธิภาพรถยนต์ ซึ่งปีที่แล้วพลเอกประมาณ อดิเรกสาร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป้นรมว.อุตสาหกรรม ได้นำเสนอผ่านคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ทางกระทรวงพาณิชย์ก็มิได้ดำเนินการใด ๆ โดยฟังเสียงค้านว่าปัญหาขาดดุลการค้าจะมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากปี 2531 ไทยนำเข้า 28,924 ล้านบาท ปี 2532 เพิ่มเป็น26,645.3 ล้านบาทและ 51.1% นำเข้าแชซีส์ ที่มีเครื่องยนต์ติดตั้งเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือรถยนต์ นั่งสำเร็จรูป

ฉะนั้นนโยบายอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยจึงมีกระแสความขัดแย้งระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องกับผลิประโยชน์นับแสน ๆ ล้านบาท และนโยบายนี้อาจจะถูก แช่แข็ง ในที่สุดตามผันผวนของการเมืองธุรกิจไทย

ขณะเดียวกัน รถปิคอัพได้รับอนุญาต ให้ตั้งและขยาย"รงงานได้ ดดยกำหนดให้ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทยได้ประมาณ 60-70 % ซึ่งนดยบายนี้เองที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถปิกอัพตั้งแต่ปี 2530 ทำให้ไทยกลายเป็นศุนย์กลางการผลิตเครื่องรถยนต์ปิกอัพส่งออกรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน

ในปี 2532 ตลาดที่มีอนาคตสดใสก็คือตลาดรถปิคอัพ ซึ่งมีการขยายตัวสูง

เพิ่มขึ้นเป็นร 130% ขณะที่ยอดขายรถเชิงพาณิชย์พุ่งเป็น 216,000 คันต่อปี เนื่องจากภาวะการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง เจ้าตลาดรถบรรทุกก็คืออีซูซุที่มียอดขายถึง 62,977 คัน โดยแยกเป็นรถปิกอัพ 43,505 คัน และที่เหลือเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ และรถตู้

ผลกระทบของราคาน้ำมัน ดีเซล ที่ปรับสูงขึ้น 30% ในปีที่ผ่านมา ไม่รุนแรง เนื่องจากมียอดขายจองรถที่สูงต่อเนื่องมา ขณะที่กำลังผลิตปีที่แล้วยังผลิตไม่ทัน แต่ในปีนี้กำลังซื่อจะตกต่ำเนื่องจากการปรับตัวอัตราดอกเบี้ยยเงินกู้สูงขึ้นและความ

ผันผวนเศรษฐกิจโลกจากสภาวะสงครามยังมีอยู่

อย่างไรก็ตามนโยบายของรัฐด้านภาษีที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประกอบรถปิกอัพ ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ในการเรียกเก็บภาษีมูลภัณฑ์กันชน 33-44% สำหรับการดัดแปลงต่อเติมรถกะบะ โดยรัฐหวังจะทำรายได้ เข้าคลังถึง 1,200 ล้านบาท

บริษัทที่ได้รับผลกระทบดยตรงจากนโยบายนี้ก็คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถและบริษัทไทยรุ่งยูเนียนยคาร์ ซึ่งเป็นของตระกูลเผอิญโชค ในปีที่แล้วไทยรุ่งฯ ทำรายได้จาการประกอบ และดัดแปลงรถปิคอัพรายใหญ่เป้นเงินถึง 470.8 ล้านบาท และบริษัทเพิ่งจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 60 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตและมีวงเงินเบิกเกินบัญชีและกู้ยืมธนาคารเป็น 67 กว่าล้านบาท

ในช่วงกลางปีที่แล้ว ตลาดที่เติบโตนอกเหนือจากรถปิคอัพแล้ว ภาวะตลาดหุ้นเรียลเอสเตรท บูมและราคาน้ำมันที่ถูกลง ทำให้เกิดการขยายตัวในกลุ่มเศรษฐีใหมีผู้มีกำลังซื้อสูงขึ้น ปรากฏว่า มีความเคลื่อนไหวคึกคักในตลาดรถใหญ่ระดับสูงทีมีขนาดเกิน 2,000 ซีซีขึ้นไป และมูลค่ารถแต่ละคันก็ไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาท

อัตราเติบโตด้านยอดขายรถเศรษฐีเมือเทียบกับปีก่อนสูงถึง 130% โดยเฉพาะรถในค่ายยุโรป เช่นเบนศ์ วอลโว่ซีรีส์ 9 BMN เปอโยต์ 605 โอลเด้น คาเร่ส์ ที่ทยอยเปิดตัวช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่รถหรูราคาแพงระยับของค่ายรถญี่ปุ่นก็ไม่พลาดตลาดระดับบนนี้ก็เช่นกัน คือโตโยต้า คราวน์ นิสันเซฟิโร่ ฮอนด้าลีเจนด์

เจ้าตลาดรถหูระดับสูงคือบริษัทธนบุรี ประกอบรถยนต์ ผู้ทำรายได้มหาศาลจาการขายรถเบนซ์ ในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก 3,600 ล้านบาท เป็น 5,525.3 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ปีที่แล้วเกือบ 200 ล้านบาท ในปีนี้สภาพคล่องของธนบุรีและประกอบรถยนต์จึงจัดอยู่ในฐานะดี แม้จะมีหนี้หมุนเวียนที่เกิดจากการกุ้ยืมแบงก์และเบิกเกินบัญชีอยุ่ถึง 2,506 ก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากวงเงินกู้ประเภททรัสต์รีซีทส์ ถึง 1,138 ล่านบาทก็ตาม

การเติบโตของรถเศรษฐีนี้เป็นที่จับตามองของรัฐที่มีดำริจะจัดเก้บภาษีรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2000 ซีวีขึ้นไป โดยอ้างเหตุผลของการ ประหยัดราคาน้ำมัน ท่ามกลางการคัดค้านของผู้ผลิตรถยนต์นี้

"ผมคิดว่าไม่น่ากระทบกระเทือนต่อยอดขายเพราะคนที่ซื้อเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง แต่การแก้ไขเรื่องประหยัดน้ำมัน มันคนละเรื่องกันกับภาษี" แหล่งข่าวในบรัทสวีเดนมอเตอร์ ผู้จำหน่ายรถวอลโว่เล่าให้ฟัง ปีทีแล้วบริษัทขายรถได้ถึง 2,736 คันซึ่งเทียบกับปีที่แล้วโตเพิ่มขึ้นถึง 72.2 ขณะที่โรงงานผลิตวอลโว่จะหมดสัญญารับจ้าง ประกอบรถยนต์กับวอลโว่ ประเทศไทยในปลายปีนี้

สำหรับตุลาคมปีนี้ รถวอลโว่ซีรีส์ 940 จำนวน 250 คัน ได้รับเลือกใช้ในการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก แค่นี้ภาพพจน์รถวอลโว่ก็สร้างขึ้นมาเพือ่การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทั่วโลกอย่างดี

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 1991 นี้จึงดูเหมือนไม่มีปัญหาในช่วงครึ่งปีแรก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นที่น่าจับตาว่ากำลังผลิตและยอดขายของแต่ละค่ายรถยนต์จะ

อยู่ในภาวะชะลอตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจโดยทั่วไปไม่เอื้ออำนวยเหมือนปีทองทีผ่านมา และต่อเนื่องไปถึงตลาดรถยนต์มือสองที่ซบเซาจากปลายปี ขณะที่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ยังคงผลักภาระเสี่ยงให้กับลูกค้าด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อสูงต่อไปอีก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us