โรบินสัน ทุ่ม 3,000 ล้านบาท ขยายต่อเนื่อง 6 สาขาใน 2 ปี พร้อมผลักดันแฟล็กชิฟโตร์ 4 สาขา ชูความมีไลฟ์สไตล์ และกลยุทธ์ 5 แนวทาง มั่นใจดันยอดขายขยับขึ้น 8% เท่าเป้าปีก่อน ที่วางไว้ แต่อกหักทำได้เพียง 4.4% แต่ส่งผลให้รายได้รวมยังโตอยู่ถึง 4.8% ล้านบาท
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจปีนี้ยังต้องระมัดระวัง แม้ว่าจะมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นและมีแผนพัฒนาประเทศในหลายๆด้าน ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีกับธุรกิจห้างสรรพสินค้า แต่อย่างไรก็ตามการเมืองซึ่งยังไม่มีความชัดเจนแน่นอน รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ราคาน้ำมันยังสูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ถดถอย มองว่าเป็นปัจจัยลบที่สำคัญ เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในปีนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามโรบินสันยังเดินหน้าดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง โดยปีนี้วางแผนกลยุทธ์การตลาดใหม่ ภายใต้แนวคิด “โรบินสันเรฟเวอลูชั่น” ประกอบด้วย 5 แนวคิดหลัก คือ1. การปรับภาพลักษณ์ใหม่ของโรบินสันให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ชูความมีไลฟ์ไตล์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัด ที่ได้ผลักดันให้เกิดรูปแบบสาขาที่เรียกว่า แฟล็กชิฟ สโตร์ ขึ้นมา ในแต่ละภูมิภาค รวม 4 สาขา ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว 1 สาขา คือ เชียงใหม่ ปรากฏว่าเพิ่มยอดขายในแต่ละเดือน จากเดิม 70 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาทแล้ว ส่วนในอีก 3 สาขา จะเปิดให้บริการเร็วๆนี้ คือ รัชดา อุดรธานี และภูเก็ต ซึ่งรูปแบบแฟล็กชิฟ สโตร์ ใช้เม็ดเงินลงทุนไปกว่า 400 ล้านบาท
นอกจากการพัฒนารูปแบบแฟล็กชิฟ สโตร์ รวมถึงการปรับปรุงสาขาเดิมแล้ว ปีนี้บริษัทฯยังได้จัดสรรงบประมาณอีกกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจากการดำเนินงานที่มีอยู่ มาใช้ในการขยายสาขาเพิ่มอีก 6 สาขา ใน 2 ปีหลังจากนี้ เฉลี่ยลงทุน 500 ล้านบาทต่อสาขา โดยขณะนี้ 3 สาขา คือ ชลบุรี ขอนแก่น (เป็นโครงการร่วมของกลุ่มซีพีเอ็น) และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นโครงการของการบริหารส่วนท้องถิ่น อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าในปีหน้าจะเปิดให้บริการได้ ส่วนอีก 3 สาขาที่เหลือ อยู่ในระหว่างการเจรจาสรุปโครงการ คาดว่าจะเปิดทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยในปี 2553 น่าจะเปิดให้บริการได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้โรบินสันมีจำนวนถึง 27 สาขา
2.กลยุทธ์การบริหารสินค้า จากเดิมที่มีสินค้าทั้งไพรเวทแบรนด์ และอินเตอร์แบรนด์ รวมกว่า 30 แบรนด์ ปีนี้จะขยายเพิ่มรวมอีก 10 กว่าแบรนด์ รวมทั้งเพิ่มไลน์สินค้าให้มีมากยิ่งขึ้น และมีความเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์มากขึ้นด้วย อาทิ เช่น แผนกเสื้อผ้าสตรี จะมีการนำเข้าแบรนด์ Goelia, Allure Noir, Vor Shoez ส่วนสินค้าในครัวเรือนจะมีการสร้างแบรนด์ใหม่คุณภาพระดับพรีเมี่ยมขึ้นอย่างน้อย 1 แบรนด์ คือ CuiZmate
3.แนวคิดการทำตลาดแบบเจาะลึกผ่านการ Customer Research และใช้ Data Mining Tool ซึ่งส่งผลให้ปีนี้จะมีการทำตลาดที่หลากหลายและมากขึ้น ทั้งอะโบฟ เดอะ ไลน์ และบีโลว์ เดอะ ไลน์ ภายใต้งบประมาณ 280 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา 20 ล้านบาท 4.กลยุทธ์การบริการจากใจ การบริการแบบเฉพาะตัวบุคคลมากขึ้น บริการ วันสต็อปเซอร์วิส ผ่านบัตรชอปปิ้งการ์ด และ5.กลยุทธ์ซีเอสอาร์เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อังคมอย่างยั่งยืน มั่นใจว่าปีนี้จะมียอดขายเติบโตขึ้น 8% จากเดิมในปีก่อนที่ทำได้ 11,285 ล้านบาท
ยอดขายปีก่อนวืดเป้า
นายปรีชายังได้กล่าวถึงผลประกอบการในปีที่แล้วด้วยว่า ปีที่ผ่านมารายได้รวมทำได้ 12,602 ล้านบาท โตขึ้น 4.8% แบ่งเป็น ยอดขาย 11,285 ล้านบาท โตเพียง 4.4% จากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 8% และรายได้อื่นๆอีก 1,317 ล้านบาท ซึ่งเมื่อคิดเป็นกำไรสุทธิแล้วเพิ่มขึ้นถึง 20.2% คิดเป็นมูลค่า 864 ล้านบาท
|