BSI แจ้งงบงวดสิ้นปี 50 พบกำไร 230 ล้านบาท ลดลงจากปี 49 เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยได้นำสิทธิการรับชำระหนี้ที่ได้ทำสัญญาซื้อหนี้ มาหักกลบกับภาระหนี้สินตามแผนฟื้นฟูกิจการ จึงทำให้มีกำไรจากการลดหนี้จากหนี้สินตามแผนฟื้นฟูของกิจการ 5,198.24 ล้านบาท ขณะที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน

บริษัท ซี.เจ.มอร์แกน จำกัด ผู้บริหารแผน บริษัท กรุงเทพผลิตเหล็ก จำกัด (มหาชน) ( BSI ) ขอนำส่งงบการเงินสำหรับปี 50 ของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 50 ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีแล้วพบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 230.49 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 2,771.38 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิลดลง 2,540.89 ล้านบาทคิดเป็น 91.68 %

ทั้งนี้ มีผลเนื่องจากบริษัทมีผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ 1 สำหรับปี สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 50 จำนวน 556.58 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานของงวดเดียวกันในปีก่อนมีกำไรจากการดำเนินงาน 9.92 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 546.66 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต จากราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงมีนโยบายลดต้นทุนการผลิตโดยการลดค่าใช้จ่ายในการผลิตที่ไม่จำเป็นและลดปริมาณของเสียจากการผลิต สำหรับดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้นิติบุคคล

สำหรับปี 50 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยดอกเบี้ยจ่ายลดลง 0.25 ล้านบาท ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 3.91 ล้านบาท ตามลำดับ รวมผลการดำเนินงานสำหรับปี สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 50 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 543.00 ล้านบาท

ส่วน รายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติที่มีการเปลี่ยนแปลงสำหรับงวดปี 50 คือรายการโอนกลับค่าเผื่อการด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 4.50 ล้านบาท รายการโอนกลับค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้น5.22 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายการผลิตคงที่ส่วนที่ผลิตต่ำกว่ากำลังการผลิตปกติเพิ่มขึ้น 339.45 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายใน การปิดโรงงานเพื่อซ่อมแซมเครื่องจักรลดลง 84.11 ล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ลดลง1,087.28 ล้านบาท ขาดทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ลดลง 474.45 ล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนลดลง 479.73 ล้านบาท และการบันทึกสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง 341.13 ล้านบาท

ขณะที่ปี 50 รายการหนี้สงสัยจะสูญ ในงบการเงินเฉพาะกิจการ เป็นการตั้งสำรองหนี้ สงสัยจะสูญในส่วนภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทย่อย ซึ่งบริษัทได้ชำระหนี้ แทนให้ในฐานะผู้ค้ำประกัน 195.39 ล้านบาท และมีรายการโอนกลับหนี้สงสัยจะสูญในส่วนหนี้อื่นอีก 24.81 ล้านบาท ขณะที่ปี 49 บริษัทและบริษัทย่อยได้นำสิทธิการรับชำระหนี้ที่ได้ทำสัญญาซื้อหนี้มาหักกลบกับภาระหนี้สินตามแผนฟื้นฟูกิจการ จึงทำให้มีกำไรจากการลดหนี้จากหนี้สินตาม แผนฟื้นฟูของกิจการ5,198.24 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทขอนำส่งข้อมูลการผลิต และจำหน่ายเหล็กเส้นของบริษัท และบริษัท ราชสีมาผลิตเหล็ก จำกัด (ราชสีมา) สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 50 เพื่อรายงานรายการที่อาจเข้าข่ายความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งจากการสอบทานการผลิต และการขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นสำหรับงวด 6 เดือนหลังปี 50 พบว่าบริษัท และราชสีมา มีการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นทั้งหมด 23 ผลิตภัณฑ์ ไม่พบการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เทียบเท่ากัน แต่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เทียบเท่ากันอยู่เพียง 2 ผลิตภัณฑ์ คือเหล็กเส้น SR24 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 09 mm (SR 24 x 09 mm) หรือเหล็กเส้น 9 mm และ เหล็กเส้น SR24 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 mm (SR 24 x 10 mm) หรือเหล็กเส้น 10 mm

โดยพบว่ายอดขายเหล็กเส้น 9 mm มีทั้งสิ้น 5,441.08ตัน มูลค่า 113.50 ล้านบาท ขายให้แก่ลูกค้าทั้งหมด 60 ราย แบ่งเป็นการขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น 9 mmซึ่งผลิตโดยบริษัท 5,341.77 ตัน มูลค่า 111.55 ล้านบาท คิดเป็น 3.60% ของยอดขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นทั้งหมดซึ่งผลิตโดยบริษัท และเป็นการขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น 9 mm ที่ผลิตโดยราชสีมา 99.31 ตัน มูลค่า 1.95 ล้านบาท คิดเป็น 3.51 %ของยอดขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นทั้งหมดซึ่งผลิตโดยราชสีมา ทั้งนี้ไม่มีการขายให้กับลูกค้าที่ซ้ำซ้อนกัน (คือเป็นลูกค้าของทั้งบริษัท และราชสีมา) แม้แต่รายเดียว

ตลอดปี 50 ไม่มีการผลิตเหล็กเส้น 10 mm จากทั้งบริษัท และราชสีมา ซึ่งจากการสอบทานย้อนหลังพบว่ามีการผลิตเหล็กเส้น 10 mm ครั้งล่าสุดในปี 2548 จากราชสีมา 1,926.47 ตัน แต่ยังคงมีการขายผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นที่เทียบเท่ากันอยู่หนึ่งผลิตภัณฑ์คือเหล็กเส้น SR 24 x 10 mm ทั้งนี้เป็นการขายจากสต๊อกคงค้างตั้งแต่ปี 48 และเป็นการขายให้กับลูกค้าของตนเอง มิใช่ลูกค้ารายเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน

เนื่องจากบริษัท กรุงเทพผลิตเหล็ก จำกัด (มหาชน) (BSI)ซึ่งอยู่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด(Non-Performing Group) ได้นำส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 50 ฉบับที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้สอบบัญชีไม่สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัท ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฎในงบการเงินอาจไม่แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ

ตลาดหลักทรัพย์จึงแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทราบและพิจารณาความเห็นของผู้สอบบัญชีประกอบกับตัวเลขในงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างระมัดระวัง