การเจรจาข้อตกลงทั่วไป ว่าด้วยภาษีศุลกากร และการค้าจะล้มเหลวไปแล้วที่กรุงบรัสเซลล์
เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากการชะงักงันในปัญหาการเจรจากลุ่มสินค้าการเกษตร
ซึ่งถือได้ว่า เป็นหัวใจหลักของการเจราจาครั้งนี้ ทำให้กลุ่มการค้าสินค้าบริการซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็เป็นอีกหลุ่มหนึ่งที่
ประสบชะตากรรมร่วมกันด้วย
ในระหว่างการเจรจาครั้งนี้ ประเทศพัฒนาแล้ว ได้ถือโอกาสปัดฝุ่นข้อเสนอเก่าว่าด้วยการค้าบริการทางการเงินในที่เคยถูกปฏิเสธแล้วเข้ามาอีก
ในวันแรกของการเจรจา โดยมีหน้าม้า 4 ประเทศ คือ แคนาดา ญี่ปุ่น สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
เป็นผู้เสนอร่วมและมีสหรัฐฯ กับอีอีซี เป็นผู้กล่าวสนับสนุนในที่ประชุมกลุ่ม
ข้อเสนอดังกล่าวสร้างความฮือฮาอย่างมากในกลุ่มตัวแทนประเทศผู้เข้าร่วมประชุม
หรือนักข่าวที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด เนื่องจกาเป็นที่ทราบกันดีว่า การบิรการทางการเงินดังกล่าวเป็นหัวข้อ
( ANEX) ที่มีความสำคัญที่สุดในการเจรจากลุ่มบริการ
เป็นที่ทราบกันดีว่าสหรัฐฯ เองพยายามผลักพันเรื่องการค้า บริการเข้ามาก่อนใครตั้งแต่
4 ปีก่อน โดยมีสมมติฐานว่าหากการเจรจาให้มีการเปิดเสรีมากขึ้น สหรัฐฯ จะมีความได้เปรียบมากกว่าใครอื่น
ข้อเสนอให้เปิดตลาดเสรีของสหรัญฯ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลักการไม่เลือกปฏิบัติทั้งในการเปิดตลาด
( MARKETACCESS) ที่เรียกว่าการปฏิบัติอย่างยิ่ง ( most-afvoured nations)
และการเท่าเทียมกันระหว่างผู้ให้บริการ ( Financial providers)ที่เป็นต่างชาติกับท้องถิ่นจะต้องเท่าเทียมมันตามหลัก
การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ natioanal treatment ทั้งนี้เป้าหมายหลักของสหรัฐฐ
อยู่ที่การบริการทางการเงิน และการบริการสื่อสารสำคัญ
สหรัฐลืมไปว่า " เหนือฟ้ายังมีฟ้า" เนื่องจากมีสภาวะการเปลี่ยนแปลงธุรกิจระหว่างประเทศในระหว่างการเจรจาแกตต์รอบอุรุกวัย
3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ได้เปรียบทางการค้าบริการของสหรัฐฯลดลงไปมาก ญี่ปุ่นกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่ท้าทายความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ
อย่งแท้จริง การเทคโอเวอร์ธุรกิจ ธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
และกิจการภาพยนตร์ และแผ่นเสียงเกิดขึ้นในสหรัฐฯ อย่างอึงคนึงทีเดียว
กรณีของโซนี่ ที่เข้าเทคโอเวอร์กิจการของโคลัมเบียพิคเจอร์ และร็อคกี้เฟลลเลอร์เซนเตอร์
ถูกซื้อโดยมิตซูบิชิญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ของความได้เปรียบที่ลดลงของการค้าบริการสหรัฐฯ
ไม่เพียงเท่านั้นสหรัฐฯ ยังพบอีกว่าธุรกิจเดินเรือทั้งในประเทศและต่างประเทศของตน
็มีช่องโชว่เบ้อเร่อที่จะถูกเทคโอเวอร์ได้ง่าย ๆ อาทิเช่น หากปราศสจากเงื่นไขบังคับให้ประเทศที่ซื้ออาวุะของสหรัฐฯต้องให้เรือของบริษํทอเมริกัน
เพรสซิเดนท์ ไลน์ ( APL ) ขนสินค้า บริษัทเรือดังกล่าวต้องแจ้งไปนานแล้ว
รูปโฉมการเจรจาได้เปลี่ยนแปลงไปในเมื่อสหรัฐฯ เริ่มลังเลใใจไม่อยากเสียผลประโยชน์
ผลก็คือกำหนดกรอบการเจรจาถูกแปรขบวนไปจนเกือบเสียรูปทรงที่วางไว้แต่แรก สหรัฐฯ
เผยจุดอ่อนออกมาทีละน้อย โดยพยายามจะให้กลุ่มเจรจายอมรับว่าอาจจะไม่มีการใช้หลัก
MFN ในการเจรจากลุ่ม กลุ่มเจรจานี้โดย การคัดสินค้าบางรายการออกไป โดยเฉพาะเรื่องการเดินเรือพาณิชย์
( maritime shipping) แต่อีอีซีและประเทศพัฒนาแล้วไม่ยินยอม
ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาเองก็มีความเห็นแตกออกไปหลายเสี่ยง โดยขั้วสุดโต่ง
คือพวกหัวแข็ง (hard-liners) นำโดยอินเดียและละตินอเมริกาพยายามตีรวนให้เละด้วยการย้ำว่าจะต้องให้กรอบกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อที่การผูกมัดจะได้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งหมายความว่า ถึงเวลาเข้าจริง
ๆ การเปิดตลาดเสรีก็เป็นเรื่องที่มีอยู่แค่ในหลักการ แต่กลุ่มที่เป็นกลาง(
รวมไทยด้วย) ก็พยายามคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นควบคู่ไปกับระยะยาว โดยยอมเสียบางส่วนออกไปแลกกับความจำเป็นที่ต้องเปิดตลาดให้เสรี
เมื่อการเจรจายืดเยื้อออกไป หัวใจของการเจรจาจึงออกมาในลักษณะที่หัวข้อการบริการทางการเงิน
( Financial services anex) มีความสำคัญมากที่สุด โดยที่ทุกคนก็รออยู่ว่า
เมื่อใดสหรัฐฯขะยอมลดบทบาทแข็งกร้าวมายอมรับเงื่อนไขที่ว่า จะต้องมีหลัก
MFN ในกลุ่มนี้ทั้งหมด สหรัฐเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่าเอาเข้าจริงก็โดดเดี่ยวมาก
ไม่ต่างอะไรกับอีอีซี ที่ถูกโดดเดี่ยวในเรื่องสินค้าเกษตร
ในที่สุดก็เกิดการเจรจาใต้โต๊ะระหว่างประเทศพัฒนาแล้วที่เรียกว่า การทำ
sidedeal ขึ้นมาโดยสหรัฐฯหลบไปอยู่ข้างหลัง 4 ประเทศ ที่กล่าวมาข้างต้นให้ยื่นหนังสือที่ทำให้การเจรจาเพิ่มความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น
สหรัฐฯ ก็เพิ่งจะมาอ่อนข้อในวันก่อนสุดท้ายว่าจะยอมหลักการ MFN ในเรื่องการค้าบริากรส่วยนใหญ่
เพื่อให้การเจรจาคืบหน้าไปได้ แต่ก็สายเกินไป
ประเทศไทย เองนั้น ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนในกลุ่มเจรจา การค้าบริการนี้ โดยพยายามมอว่าการผ่านเข้าไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมหใม่
( mics) จะต้องมีการแลกเปลี่ยนอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียในระยะสั้น แต่จะดีในระยะยาว
การบริการทางการเงินที่พอจะรับได้อาจจะต้องยอมรับ เพระถึงอย่างไรก็มีระยะเวลาปรับตัวอยู่ช่วงหนึ่ง
อยู่แล้ว ตามสิทธิของประเทศกำลังพัฒนาและตามที่เป็นจริงแล้ว การเจรจากลุ่มบริการก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเสียอยู่แล้ว
อยู่ที่ว่าจะเสียมากเสียน้อย
จุดยืนตรงนี้ ผมว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะจะฝ่าฝืนอำนาจที่เหนือว่าในการเจรจาเป็นเรื่องอย่างหัวชนฝาที่คงจะเป็นไปไม่ได้
และการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเสรีทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องของความกล้าหาญต่อการเดินไปสู่อนาคต
และในระบบทุนนิยมก้าวหน้านั้นการเปิดเสรีเป็นสิ่งที่ดีกว่าอภิสิทธิ์อย่างแน่นอน
ปัญหาอยู่ที่ว่าจะยอมรับได้แค่ไหนกับการบีบบังคับของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ข้อเสนอทั้ง 4 ประเทศ พัฒนาแล้วเป็นเรื่องที่อาจจะดูน่ากลัว โดยเฉพาะเรื่องของการตัดอำนาจรัฐของเจ้าประเทศในเรื่องการแทรกแซงเพื่อรักษาความมั่นคงของสถาบันการเงิน
การเสนอหลุมพลางใหญ่เกี่ยวกับ two-track approach ว่าการผูกมัดตัวเองของแต่ละประเทศต่อแกตต์
จะเป็น negative list ก็ได้ ซึ่งเป็นการล่อให้เหลื่อหลงกลและอาจจะทำให้เกิดปัญหากีดกันการค้าตามมาในระยะยาวเนื่องจากการเลือกปฏิบัติ(
discrimination) ได้ง่าย เพราะมีการใช้ double standard ข้อเสนอว่า จะไม่ทำอะไรเป็นเรื่อเงสียเปรียบเพราะมีผลใช้บังคับตลอดไป
ในขณะที่ข้อเสนอว่าจะทำอะไรเป็นการยืดหยุ่นมากว่า ทุกประเทศพอใจกับข้อเสนอหลังมากว่า
ดูเหมือนว่าจะมีทางเลือกที่ปฎิเสธข้อเสนอที่เข้มงวดมากๆ เหล่านี้ได้น้อยเต็มที่
เพราะเสียงสนับสนุนในการเจรจาจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในขณะนี้ หนุนเนื่องเป็นเอกภาพ
ในขณะที่กลั่มประเทศกำลังพัฒนาเสียงเริ่มแตกกันออกไปเป็นเสี่ยง ๆ กลุ่มพวกหัวแข็งที่เคยเสียงดังและทุบโต๊ะมาจากเจนีวาหรือมอนเทรอัลมาในช่วงก่อนหน้านี้
เริ่มแผ่วลงไปมากเนื่องจากขาดความต่อเนื่องของคณะเจรจาบ้างหรือการทำ side
deal กับประเทศพัฒนาแล้วบ้างตามสินบนที่ล่อความแตกแยกเหล่านี้ทำให้ข้อเสนอของกลุ่มประเทศเชีย
8 ประเทศ คือ ซีเซน (SEACEN Southeast Asian Central Baners) ที่ทวนกระแสเข้าไปในวันที่สองของการเจรจาเพื่อหาทางบรรเทาการเข้มงวดลงไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก
ซึ่งทำให้ไม่น่าแปลกใจที่คุณวิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการแบงก์ชาติของไทยถึงออกมาคราวญเสียงอ่อนว่าเห็นทีจะแย่คราวนี้
ดูบรรยากาศแล้ว ผมเชื่อว่าหากไม่มีเรื่องการค้าสินค้าเกษตรเข้ามาขัดจังหวะให้การเจรจายืดเยื้อและล้มไป
ประเทศพัฒนาแล้วก็คงจะต้องออกมารวบหัวรวบหางให้ข้อเสนอที่ค่อนข้างเข้มงวดของเขาออกมาใช้ให้ได้
โดยจะจะยอมลดถ้อยคำบางถ้อยคำที่เข้มงวดออกไป แต่จุดยืนคงจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็น่ากลัวอันตรายสำหรับการค้าบริการบ้านเรา เพราะในคำนิยามที่ครอบเกี่ยวไปถึง
12 รายการ เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงทีเดียวไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาลและภาคเอกชน
ประการแรกที่สุด ข้อเรียกร้องให้ยกเลิกอำนาจผูกขาด ของสถาบันการเงินบางอย่างลงไป
อาทิ เช่นธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือธนาคารออมสิน เป็นต้น อาจจะต้องทำให้รัฐบาลและผู้รับบริการต้องเดือดร้อนเพิ่มขึ้นจาการขาดแหล่งอิงทางการเงินที่มีต้นทุนต่ำลงไป
ประการที่สอง อำนาจรัฐบาลที่เคยดูแลเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐที่จะต้องกระทบกระเทือน
โดยเฉพาะการแทรกแซงที่เคยกระทำอยู่ทั้งในตลาดปริวรรตเงินตรา ตลาดทุน และตลาดเงินในกรณีที่สถาณการ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ราบรื่นปัญหาจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้น
นอกจากนั้น ข้อเรียกร้องให้ลดข้อบังคับเกี่ยวกับ publice procurement หรือการจัดหาแหล่งระดมเงินเพื่องานสาธารณะอาจจะต้องกระเทือน
อาทิ เช่นกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตคิดจะ สร้างเขื่อนขึ้นมา ตามปกติรัฐบาลาอาจจะควบคุมว่าจะกู้เงินต่างประเทศได้ไม่เกินเพดาน
เท่าใดเพื่อควบคุมปัญหาหนี้ต่างประเทศของรัฐ แต่ต่อไปนี้ อำนาจในการควบคุมจะลดลง
อาจจะเกิดปัญหาภาระหนี้สินต่างประเทศ ( DEBT/SERVICE RATO) ล้นพ้นเหมือนบราซิล
หรือเม็กซิโก ได้ ถ้าหากว่าระบบการเมืองไทยเราไม่ดีพอ ปล่อยให้รัฐวิสาหกิจที่ผู้บริหารคิดมิชอบเล่นเซ็งลี้กับบรรดา
Financial ต่างชาติได้
ประการที่สาม ต่างชาติอาจจะหาทางเปิดตลาดล่วงหน้าค้าเงินตรา หรือหุ้นในตลาดเมืองไทยกันเอกเอริกโดยที่รัฐทำการควบคุมได้น้อยลง
ผาจส่งผลเสียได้ง่าย เพราะอำนาจรัฐตามประการแรก ถูกตัดทอนลงไปแล้ว การฏิหารย์ในเรื่องปั่นหุ้นหรือเล่นปริวรรติที่แม้เล่นแบบสปอตก็ยังพังให้เห็นกันอยู่มาก
ขึ้นเป็นทวีคูณแน่นอน เพราะนิสัยคนไทยย่อมชอบเรื่องพรรค์นี้ อยู่แล้ว
ประการที่สี่ หากไม่มีการตัดถ้อยคำที่ว่าด้วย EQUAL Conmpetitive opportunties
ซึ่งแทรกเข้ามาในข้อเสนอที่หลังสุดว่าแม้เปิดตลาดให้ผู้ให้บริการทางการเงินใด
ๆ เข้ามาในตลาดตามหลักการ MFN และ National treatment แล้วผู้ให้บริการต่างชาติยังสูค้นท้องถิ่นไม่ได้อยู่อีก
รัฐบาลท้องถิ่นจะต้องเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้ต่างชาติสู้ให้ได้
ประการสุดท้าย สถาบันการเงินท้องถิ่นหลายแห่งที่ปรับตัวไม่ได้ก็คงจะต้องถึงกาลอาอวสาน
เนื่องจากไม่สามรถปรับตัวเข้ากับการแข่งขันกับต่างประเทศที่มีอิทธิพลทางการเงินและการบริหารที่เหนือกว่า
การครอบงำทางเศรษฐกิจในบางด้านอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าพอใจสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเรา
สภาพอาณานิคมทางด้านการเงินอาจจะเกิดขึ้นได้
คิดดูง่าย ๆ ขนาดมีความพยายามที่จะกีดกั้นเหลือเกิน บริษัทประกันชีวิตอย่างเอไอเอ
ยังมีส่วนแบ่งการตลาดเข้าไปถึงร้อยละ 40 เข้าไปแล้ว แม้คู่แข่งท้องถิ่นบางรายจะโอ้อวดว่า
สัดส่วนที่ว่านั้น กำลังลดลงก็ตาม
อย่างไรก็ดี ถ้าหากมองในมุมกลับบ้าง การเปลี่ยนแปลงอย่างที่ว่า ก็อาจจะมีข้อดีบ้างเหมือนกัน
ประการแรกที่สุด ไหนๆ เราก็พยายามปรับปรุงประเทศให้เปิดเสรีทางเศรษฐกิจมามากต่อมากแล้ว
จนกลายเป็นทุนนิยามเกือบเต็มตัวเข้าไปแล้ว และกำลังพยายามจะสร้างให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคอีกด้วย
การปรับตัวโดยเปิดตลาดให้เร็วก่อนสิคโปร์หรือมาเลเซีย จะล่วงหน้าไปก่อน อาจกล
ายเป็นผลดีในระยะยาวก็ได้ เพราะอย่างนต้อยที่สุดก็มีประสบการณ์ที่จะเจ็บตัวน้อยกว่า
โดยเฉฑาะอย่างยิ่งสภาพทางด้านภูมิศาสตร์ก็เอื้ออำนวยอยู่แล้ว ประการที่สอง
ธุกริจการเงินในบ้านเราหลายแขนงไม่ได้เอื้ออำนวยต่อผู้ต่อผู้บริโภคมากเท่าที่จะเป็น
การคำนึงถึงความมั่นคงของระบบอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงให้มีการแข่งขันที่เปิดกว้างขึ้น
โดยมีกรอบกติกาที่ชัดเจนอาจจะทำให้การแข่งขันบริการลูกค้าทำได้ดีขึ้น สัญชาติของสถาบันการเงินบางครั้งก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่า
" อคติ" และการเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากปราศจากธนาคารต่างประเทศบางรายที่เข้ามาเสนอบริการ
trade and project financing ให้กับผส่งออกไปบางรายเมื่อ 20 ปีก่อน บางทีผู้ส่งออกและนักอุตสาหกรรมของเราอาจจะไม่เก่งในเรื่องการกู้เงินออฟชอร์อย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ได้
ในตลาดหุ้นอีกเช่นกัน หากปราศจากบริษัทงวิเคราะห์มืออาชีต่สงประเทศเข้ามาชี้แนวทางการลงทุนแล้ว
การคาดเดาสถานการณ์ราคาก็คงสะเปะสะปะปล่อยให้มีการปั่นหุ้นสนุกมือไปกว่านี้หลายเท่า
นอกจากนั้น บริษัทประกันภัยและประกันชีวิตของเรา ที่แม้จะคุยนักว่าเติบโตปีละร้อยละ
30 นั้น เอาจริง ๆ มีความสามารถเพียงระดมเงินออมเข้าได้แค่ร้อยละ 5 ของตลาดเท่านั้นเอง
เนื่องจากชื่อเสียงที่ทำไว้ค่อนข้างแย่ การจัดการก็ล้าหลังมาก แถมหากรัฐบาลไม่เข้าไปคุมแบบเบ็ดเสร็จก็มีหวังแย่ต้องล้มไปอีกหลายราย
ประการที่สาม รูปแบบของสถาบันการเงินใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมาภายหลังการเจรจาแกตต์ไปแล้ว
10 ปี จะต้องเข้ามาสร้างความคุ้นเคยให้กับวิถีชีวิตของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
สถาบันการเงินเหล่านี้ แม้ว่าจะสร้างปัญหาให้บ้างในระยะที่ยังไม่คุ้นเคย
แต่เมื่อพิสูจน์ได้ผลมาแล้วในที่อื่น ที่โครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายคลึงกันแล้ว
ทำไมจะประสบความล้มเหลวในเมืองไทย
ปัญหาระหว่างข้อดีและเสีย ไหนจะมากว่ากว่ากัน น่าจะมีอยู่ที่ทางเลือก และช่วงเวลาในการแนะนำตัวของสถาบันการเงินเหล่านี้มากว่า
สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็มีอยู่เพียงว่า ในช่วงของการเจรจาที่ยังเหลือเวลาอยู่ไม่มากนัก
ประเทศมหาอำนาจจะแอบพากันเล่น side deal ด้วยกันเอง ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนายังหลงเพลินกับเรื่อง
สินคาเกษตร ซึ่งแม้จะมีความสำคัญในปัจจุบัน แต่พากันละะเลิยการค้าบริการซึ่งเป็นอนาคตของโลก
โดยเฉพาะการบริการทางการเงินและการสื่อสารซึ่งเป็นหัวใจของโลกยุคสารสนเทศ
อีก 20 ปีข้างหน้า แล้วปล่อยให้ยังมีหลุมพรางต่าง ๆ ที่เขาขุดขึ้นมาล่อถูกบรรจุไว้ในข้อสรุปของการเจรจาในตอนจบ
จะทำให้การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผลร้ายไป