กระทรวงเกษตร สหรัฐฯ รายงานว่า ในค.ศ. ที่ 2000 การผลิตใบยาสูบของสหรัฐ
จะมีปริมาณ 8,000 ตัน ขณะที่ความต้องการมี 4,500 ตัน เหลือส่ง ออก 3,500
ตัวเลขผลผลิตเหลือส่งออกนี้เทียบกับ 2,500 ตันของปี 1975 จะมีเพิ่มขึ้น 1,000
ตัน
การผลิตที่ล้นเกินนี้สาเหตุหลักมาจากการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ในสหรัฐที่เริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ
12 ปีก่อน จนวันนี้ระบาดไปทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เหตุนี้มีผลกดดันให้สหรัฐต้องแสวหาตลาดยาสูบในประเทศที่กำลังพัฒนา
เพื่อพิทักษ์อุตสาหกรรมยาสูบของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฟิลิป มอริส เจ้าของยี่ห้อมาร์โบโรและอาร์เจอาร์
นาบิสโก เจ้าของยี่ห้อวิสตันและซาเล้ม
มาตรการที่สหรัฐใช้คือการบีบรัดให้ประเทศกำลังพัฒนาเปิดตลาดเสรีการนำเข้าบุหรี่
เพื่อแลกกับการหลีกเลี่ยงการถูกเล่นงานด้วยกฎหมายการค้า มาตรา 301 และไทยเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สหรัฐต้องการนอกเหนือจากเกาหลี
และไต้หวัน
ความหมายของการเปิดตลาดเสรีของสหรัฐกินความลงไปถึงกระบวนการปฏิบัติที่จะต้องมีกระบวนการปฏิบัติที่จะต้องมีกำแพงภาษีน้อยที่สุด
เปิดให้มีการตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน มีการโฆษณาหรือส่งเสริมการขายเสรี
สหรัฐต้องการคำตอบจากรัฐบาล ไทยก่อนวันที่ 25 พ.ย เพราะถ้าพ้นจากนี้แล้วสหรัฐจะเล่นงานไทยด้วยมาตรา
301
จนมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ทางรัฐบาลเห็นชอบในหลักการให้เปิดตลาดเสรีนำเข้าบุหรี่
ตามที่สหรัฐต้องการแต่รายละเอียดปฏิบัติการนำเข้าและการค้าขอสงวนไว้เนื่องจากเป็นเรื่องการบริหารภาย
ในของไทย
ทุกวันนี้ ผู้ค้าบุหรี่ หรือเอเยนต์ของโรงงานยาสูบมีทั่วประเทศประมาณ 270
ราย กว่าครึ่งอยู่ใน
กรุงเทพ การค้าบุหรี่เอเยนต์ต้องเสียภาษี สรรพสามิต และสรรพากร 55 และ 30%
ของราคาขาย นอกจากนี้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีก็ห้ามการ
โฆษณาบุหรี่หรือส่งเสริมการขาย
แต่กระนั้น ก็ตามตลาดบุหรี่ไทยนับวันก็เติบโตมากขึ้น " ปี 2532 ยอดขาย
37,000 ล้านมวน
ในปี 2533 จะเพิ่มเป็น 38,000 ล้านมวน และคาดหมายว่าสิ้นปีหน้าจะเพิ่มเป็นเกือบ
40,000 ล้านมวน พูดง่าย ๆ ว่า เพิ่มปีละ 1,000 ล้านบาท" พลโทปัญญา ขวัญอยู่
ผู้อำนวยการยาสูบเล่าให้ฟังถึงการขยายตัวของตลาดบริโภคบุหรี่
พลโทปัญญา เป็นนายทหารม้า สังกัด ฝ่ายเสนาธิการกองทัพบกสมัยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์
เป็นเสนาธิการกองทัพบกหลังจาก เฉลียบ ไวทยาคม ผู้อำนวยการยาสูบเกษียณลงเมื่อเดือน
ตุลาคม 2531 ก็ได้รับการแต่งตั้งจากประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีคลังสมัยนั้น ให้เป็นผู้อำนวยการแทนเฉลียบ
" ผมต้องลาออกจากกองทัพทั้งที่เหลืออายุราชการอีก 4 ปี ถ้าอยู่ต่อน่าจะได้ขึ้นเป็นพลเอกแน่
ทุกวันนี้ก็ได้แต่บำนาญจากกองทัพและเงินเดือนจากตำแหน่งผู้อำนวยการยาสูบ"
พลโท ปัญญา เล่าให้ฟัง
ผู้อำนวยการยาสูป เป็นกรรมการและเลขานุการกรรมการยาสูปโดยตำแหน่ง กรรมการยาสูบมีทั้งหมด
11 คน โดยมีอธิบดีกรมสรรพาสามิต เป็นประธานกรรมการยาสูบมีอำนาจแต่งตั้งเอเยนต์
ซึ่งถือว่า เป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการเป็นกรรมการหน่วยงานนี้ " ที่ผ่านมายอมรับว่า
การแต่งตั้งเอเยนต์ในเรื่องการอาศัยผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและการค้า เนื่องจากรายได้จาการค้าบุหรี่มันมหาศาล
และก็ถูกที่ไม่มีการปรับปรุงระบบเอเยนต์มานาน จากนี้ไปเครื่องจักรใหม่ติดตั้งทั้งหมดพร้อมทำให้สามารถเพิ่มการผลิตได้อีกก็คงจะนำเรื่องการแต่งตั้งเอเยนต์รายใหม่ขึ้นมาพิจารณา"
พลโท ปัญญา
บุหรี่ต่างประเทศ มีส่วนแบ่งตลาด 3-5% ถ้ารวมส่วนที่ลักลอบหนีภาษีเข้ามาจะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น
20-25% " เราไม่กลัวเนื่องจากต้นทุนการผลิตบุหรี่นอกตกซองละ 11 บาท
เขาต้องขายซองละอย่างต่ำ 37 บาท เมื่อรวมภาษีแล้ว ขณะที่เขาเรารวมภาษีขายแค่
20 บาท เนื่องจากภาษีสรรพากรเราไม่ต้องเสียและต้นทุนเราก็ต่ำมาก จึงสู้ได้สบาย
ๆ เต่ที่น่าหนักใจก็คือ บุหรี่นอกลักลอบซึ่งเขาสามารถ ทุ่มตลาดได้"
พลโทปัฐฐา วิเคราะห์ จุดอ่อนจุดแข็งในการต่อสู้กับบุหรี่นอก
การผลิตของโรงงานยาสูบมีการนำเข้าใบยาจากสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ประมาณ
20% อีก 80% ใช้ใบยาในประเทศ เนื่องจากต้องการนให้รสชาติใกล้เคียงบุหรี่นอก
ยอกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ยี่ห้อกรองทิพย์ซึ่งมียอดขายสูงสุดถึง 60% มีรสชาดใกล้เคียงมาร์โบโร
สายฝนซึ่งมียอดขาย 10% มีรสชาติใกล้ เคียงซาเล็ม
" เรามั่นใจเรื่องคุณภาพ ว่าสู้กับบุหรี่นอกได้แม้ว่าปริมาณนิโคตินต่อมวนจะมากกว่า
ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับการเผาไหม้บุหรี่นอกเผาไหม้เร็วกว่าถึง 3 เท่า นั่นหมายถึงสูบบุหรี่ไทย
1 มวน เมื่อเทียบกับบุหรี่นอกจะใช้บุหรี่ถึง 3 มวน ซึ่งผู้สูบบุหรี่จากจะได้รับนิดคตินมากว่าสูบบุหรี่ไทย
1 มวน" แหล่งข่าวระดับสูงในยาสูบพูดถึงข้อได้เปรียบของบุหรี่ไทย
การนำเข้าบุหรี่จะทำได้ต่อเมื่อรัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายสาธารณสุขด้านการสูบบุหรี่
เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเสียก่อน ซึ่งจากกระบวนการทางรัฐสภา ไทยคาดหมายว่าโรงงานยาสูบคงสามารถซื้อเวลาได้อีกระยะหนึ่งแต่
ก็คงไม่เกินปี 2534 นี้แน่นอน พ้นจากนี้ไปแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างดีทเฉมส์ที่หวังจะขายมาร์โบโร
บริษํทไอทีเทรดดิ้ง ที่เตรียมขายวิสตัน และซาเล็ม และบอร์เนียวที่หวังจะขายเค้นท์
ของบริษัทบราวน์แอนด์วิลเลียม ก็คงเข้ามาเขย่าตลาดบุหรี่ของยาสูบด้วย พลังการตลาดที่เหนือกว่าและยี่ห้อบุหรี่ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
ถึงเวลานั้น ถ้าโรงงานยาสูบยังคงทำบุหรี่ขายด้วยวิธีการเดิมเนื่องจากผูกขาดบุหรี่มานานก็คงไม่สามารถส่งเงินเข้าคลังได้มากถึงปีละกว่า
1,400 ล้าน จากยอดขาย และไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท จากยอดภาษีสรรพสามิต
ฝีมือตรงนี้ ก็คงอยู่ที่พลโทปัญญา ว่าจะปฏิวัติการผลิตและการขายบุหรี่ไทยอย่างไร