Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 มีนาคม 2551
ต้นทุนพุ่งฉุดกำไรบจ.ปี50วูบ5หมื่นล้าน             
 


   
search resources

ภัทรียา เบญจพลชัย
Funds




ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยกำไรบจ.งวดปี 50 วูบเกือบ 5 หมื่นล้าน หรือ 10% สวนทางยอดขายโตทะลุ 6 ล้านล้านบาท ปตท. ยังนำโด่งกำไรแตะแสนล้าน ตามมาด้วยปูนใหญ่กำไรกว่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรแบงก์ทรุดกว่า 90% หลังต้องตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ ด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อยหน้ากำไรหายวับ 43%

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 526 บริษัท หรือ 97% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 541 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 16 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 โดยมีกำไรรวม 422,154 ล้านบาท ลดลง 48,378 ล้านบาท หรือ 10%

ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2549 ประมาณ 4% ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนโดยรวม (SET และ mai) สามารถทำยอดขายได้ 6,089,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2549 ที่มียอดขายรวม 5,582,039 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรลดลงเนื่องจากในปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ให$ 17;่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS39) ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี รวมถึง กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงจากเดิม

ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET50 มีกำไรสุทธิ 343,564 ล้านบาท คิด 81% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (422,154 ล้านบาท) ลดลง 5% ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 11% ขณะที่บริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 377,659 ล้านบาท คิดเป็น 89% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (422,154 ล้านบาท) ลดลง 9% เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 11%

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มเทคโนโลยีมีกำไรสุทธิ 38,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28%, กลุ่มทรัพยากร มีกำไรสุทธิ 207,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีกำไรสุทธิ 34,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.34% โดยบริษัทที่มีกำไรสูงสุด 5 บริษัท คือ บมจ.ปตท. หรือ PTT, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC, บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP, ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL และบมจ. ไทยออยล์ หรือ TOP

นางภัทรียา กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่นำส่งงบการเงิน ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (NC) และบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (NPG) รวม 458 บริษัท มียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่ม โดยมีกำไรสุทธิ 425,332 ล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 207,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น13,967 ล้านบาท หรือ 7%

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 69,397 ล้านบาท ลดลง 12,904 ล้านบาท หรือ 16%, กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 40,774 ล้านบาท ลดลง 18%

กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วย หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 38,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,307 ล้านบาท หรือ 28%, กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 34,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.34% และกลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 18,292 ล้านบาท ลดลง 71%

ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 5,507 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 เท่ากับ 46,924 ล้านบาท หรือลดลง 90% โดยมีสาเหตุหลักจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39) ขณะที่บริษัทในหมวดธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) 18 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 2,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% ด้านบริษัทประกันภัย 17 แห่งและประกันชีวิต 1 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 4,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%

ส่วนของกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิรวม 10,074 ล้านบาท ลดลง 19% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 6,902 ล้านบาท ลดลง 558 ล้านบาท หรือ 7%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us