บางจากปิโตรเลียม มั่นใจปีนี้ค่าการกลั่นใกล้เคียงปีที่แล้ว 3.20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลุ้นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นเสร็จทันกำหนด หวังดันกำไรพุ่งอีก 10% เพร้อมร่งศึกษาโอกาสการขยายต่อยอดธุรกิจเพื่อไม่ให้โครงสร้างรายได้ของธุรกิจผันผวนไปตามราคาน้ำมันและตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ขึ้นอีก 2,500 ล้านบาท ในปี 2553 หลังโครงการPQI เสร็จดัน EBITDA ทยาน6,000 ล้านบาท คาดจะใช้เงินลงทุนรวม 1 หมื่นล้านบาท
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปีนี้ค่าการกลั่นไม่น่าจะแตกต่างจากปี 2550 ที่มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต็อกน้ำมัน 1,857 ล้านบาท) อยู่ที่ 3.20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกน้ำมันเตากำมะถันต่ำไปตลาดจีนและญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเป็น 140-150 ล้านลิตร/เดือน จากปีก่อนส่งออกน้ำมันเตา 120 ล้านลิตร/เดือน บวกกับราคาน้ำมันเตาส่งออกขยับเพิ่มขึ้นอีก 30 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ไปชดเชยส่วนต่างมาร์จินระหว่างน้ำมันดิบกับสำเร็จรูปที่คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้กำไรของบางจากฯ ปีนี้ไม่ต่างจากปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 1,764 ล้านบาท เว้นหากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่น (PQI) เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนดในเดือนต.ค. 2551 จะทำให้มีค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเติบโตขึ้นประมาณ 10% และจะส่งผลให้กำไรในปีถัดไปเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการ PQI ทำให้ปริมาณน้ำมันเตาลดลงเป็นน้ำมันสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งส่วนต่างระหว่างราคาดีเซลกับน้ำมันเตาห่างกันถึง 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยค่าการกลั่นของบางจากฯไม่ต่างจากโรงกลั่นน้ำมันอื่นๆ ที่มีค่าการกลั่นสูงถึง 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และกำลังการกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนบาร์เรล/วันจากปัจจุบันที่กลั่นเฉลี่ย 6.5 หมื่นบาร์เรล/วัน
"ในปีนี้ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี) น่าจะใกล้เคียงปีที่แล้ว แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นกว่าปีก่อน แต่บริษัทได้มีการทำเฮดจิ้งไว้เยอะ โดยมีการขายดอลลาร์เพื่อไม่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็ง รวมทั้งมีการบริหารสต็อกน้ำมันไว้นาน 55-60 วัน หรือประมาณ 4 ล้านบาร์เรล ส่วนน้ำมันที่เป็นเวิร์คกิ้ง อินเวนทอรี่จะเก็บไว้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน" นายปฏิภาณกล่าว
นายปฏิภาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเพิ่มเพื่อต่อยอดธุรกิจเพื่อให้โครงสร้างรายได้ไม่ผันผวนตามราคาน้ำมัน โดยเน้น 2 ธุรกิจหลัก คือ แผนพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทน และแผนพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องธุรกิจอื่นๆ โดยอาศัยศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบางจากฯในการดำเนินงาน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน บริษัทฯได้ตัดสินใจลงทุนโครงการผลิตไบโอดีเซล (บี 100) กำลังการผลิต 3 แสนลิตร/วัน ใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่ม EBITDA อีก 2,500 ล้านบาท เป็น 8,500 ล้านบาทในปี 2555 หลังโครงการ PQI แล้วเสร็จในต.ค.นี้ ทำให้ EBITDA ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท จากปีที่แล้ว EBITDA อยู่ที่ 2,100 ล้านบาท(หักกำไรจากสต็อกน้ำมันแล้ว)
สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เนื่องจากอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.7 เท่า ทำให้มีศักยภาพที่จะก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้น
นายวิเชียร อุษณาโชติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจโรงกลั่น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอัตราการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยไว้ใกล้เคียงจากปีที่แล้ว 6.5 หมื่นบาร์เรล/วัน แม้ว่าจะมีการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นในช่วงเดือนก.พ.และมี.ค.ที่ผ่านทำให้กำลังการผลิตหายไป 4 หมื่นบาร์เรล/วัน แต่ปัจจุบันหน่วยกลั่นได้กลับมาผลิตเป็นปกติด้วยกำลังการกลั่นที่เพิ่มขึ้นเป็น 7 หมื่นบาร์เรล/วัน
จากราคาน้ำมันที่ผันผวน ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุนจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมันที่มีค่าการตลาดติดลบลิตรละ 40 สตางค์ จากยอดขายน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 160 ล้านลิตร/เดือน หรือคิดเป็นการขาดทุนเดือนละ 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ นับตั้งปตท.เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบางจากฯ ทำให้บริษัทฯลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อน้ำมัน อุปกรณ์ในโรงงาน และประกันโรงกลั่นลง ล่าสุดได้ร่วมมือกับปตท.ในโครงการโรงไฟฟ้าโครเจเนอเรชั่นที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิง โดยปตท.จะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมดแล้วขายไฟฟ้าและไอน้ำให้บางจากฯ ทำให้บางจากฯไม่ต้องใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าจึงมีเหลือส่งออกได้เพิ่ม ประหยัดเงินอีก 300 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บางจากฯเตรียมเดินทางไปโรดโชว์กับบริษัทมอร์แกนสแตนเล่ย์ร่วมกับบริษัทในกลุ่มบมจ.ปตท.ที่ลอนดอนในวันที่ 8 มี.ค.นี้ เพื่อแนะนำบริษัทให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นหลังจากที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติให้ความสนใจบริษัทฯมากขึ้น จึงเป็นลู่ทางที่ดีในการขยายฐานนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในหุ้นบางจากโดยตรงซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นบางจากอยู่ 6-7% จากเพดานกำหนดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 10% ส่วนใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (DR) ต่างชาติถืออยู่แล้ว 30%
|