Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 มีนาคม 2551
EASTWขึ้นค่าน้ำ10-12% สะท้อนค่าเสื่อม-ไฟฟ้าพุ่ง             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก

   
search resources

จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก, บมจ.
Water Supply and Irrigation
ประพันธ์ อัศวอารี




EASTW เตรียมขยับขึ้นราคาค่าน้ำดิบอีก 10-12% จากเดิมเฉลี่ย 7.59 บาท/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ปรับขึ้นทั้งค่าพลังงานและค่าเสื่อมราคาจากการลงทุน รวมทั้งรื้อสัญญาขายน้ำกับลูกค้า โดยกำหนดปริมาณรับซื้อขั้นต่ำไว้เพื่อลดภาระการลงทุน หวั่นคลังคิดค่าเช่าท่ออิงอัตราเดียวกับปตท.จะทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก เตือนคลังคิดรอบคอบเพราะเป็นภาระต่อผู้ใช้น้ำ มั่นใจปีนี้โกยรายได้ 2.5 พันล้านบาทโตต่อเนื่อง หลังมั่นใจมี.ค.ขายหุ้นธุรกิจผลิตท่อให้พันธมิตรได้

นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า บริษัทจะปรับโครงสร้างราคาค่าน้ำดิบใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-12% ของค่าน้ำดิบเฉลี่ยอยู่ 7.59 บาท/ลูกบาศก์เมตร เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำทุกกลุ่ม โดยจะเริ่มทยอยปรับค่าน้ำดิบใหม่กับลูกค้าตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะให้โครงสร้างต้นทุนขายไม่เกิน 40% ของยอดขาย แต่ไตรมาส 1/2551 (ต.ค.-ธ.ค.2550)โครงสร้างต้นทุนอยู่ที่ 38% ของรายได้ โดยปรับเพิ่มขึ้น 17% ส่วนใหญ่มาจากค่าพลังงาน และค่าเสื่อมราคาจากการขยายโครงการวางท่อน้ำดิบ ทำให้ต้องหามาตรการที่จะสร้างรายได้เพิ่มและลดต้นทุนภายในลง โดยปีนี้บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 55% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 60%

สำหรับในช่วงที่ผ่านมา บริษัทคิดโครงสร้างอัตราค่าน้ำแถวบริเวณแหลมฉบังค่อนข้างต่ำ แต่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำจากหนองค้อมีน้อย ทำให้ต้องจัดหาจากแหล่งอื่นส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจนราคาขายต่ำกว่าต้นทุนถึง 30-40 สตางค์/ลบ.ม. ซึ่งการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำในครั้งนี้ ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะบริษัทต้องการจัดเก็บค่าน้ำมีฐานราคาใกล้เคียงกัน แต่จะทยอยจัดเก็บเพิ่มครั้งละ 25-50 สตางค์ เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าได้รับผลกระทบมากนัก

"บอร์ดบริษัทได้อนุมัติให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำแล้ว แต่เราต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบและเตรียมตัวเป็น 120-180 วันก่อนที่จะปรับขึ้นจริง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าอยู่ 40 สัญญา"

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปรับสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าใหม่ โดยกำหนดปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำไว้ หากลูกค้ารายใดซื้อน้ำดิบในปริมาณที่ต่ำกว่าข้อตกลงจะถูกปรับหรือจ่ายเต็มปริมาณ เพื่อลดภาระการลงทุน จากเดิมที่ลูกค้าหลายรายแจ้งบริษัทต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูง ทำให้บริษัทต้องลงทุนจัดหาน้ำสนองความต้องการใช้ แต่สุดท้ายลูกค้าใช้น้ำในปริมาณที่ต่ำกว่าแจ้งไว้มาก

นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทเตรียมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก (มินิไฮโดร เพาเวอร์) ขนาด 500 กิโลวัตต์ ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากค่าไฟฟ้าเป็นค่าใช้จ่ายหลักคิดเป็น 30% ของต้นทุนหรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท และยังเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเสริมรายได้นอกเหนือจากธุรกิจน้ำดิบและน้ำประปา

เนื่องจากบริษัทมีระบบส่งท่อน้ำ ทำให้มีความเหมาะสมที่จะติดตั้งมินิไฮโดร เทอร์ไบด์บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองค้อ จ.ชลบุรีแล้วนำมาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าถือเป็นโครงการนำร่อง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2551 นอกจากนี้บริษัทยังดูลู่ทางสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น โซล่าร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากกังหันลม และขยะด้วย

ปัจจุบันบริษัทอ่างเก็บน้ำหลัก 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำดอกกราย และอ่างเก็บน้ำหนองค้อ ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บโดยรวม60%ของความจุอ่าง และมีแหล่งน้ำสำรองจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ อ่างเก็บน้ำหนองประแสร์ และสระเก็บน้ำของบริษัทฯเอง คิดเป็น 70 ล้านลบ.ม. หรือ 1/3 ของความต้องการใช้ของลูกค้า จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนในภาคตะวันออกเหมือนปี 2548

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปี 2551 จะมีรายได้รวม 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,374 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจน้ำดิบ รองลงมาคือ บริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU)ซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำประปา โดยปีนี้คาดว่าจะยอดขายน้ำประปาประมาณ 75.6 ล้านลบ.ม. มีอัตราการเติบโต 46% โดยปีนี้ UU จะมีรายได้รวม 760 ล้านบาท กำไรสุทธิ 97 ล้านบาท ดีกว่าปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวม 680 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท จัดว่าธุรกิจน้ำประปามีกำไรอย่างต่อเนื่อง

หวั่นคลังคิดค่าเช่าท่อตามสูตรปตท.

นางธิดารัชต์ ไกรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงินและบัญชี EASTW กล่าวว่า มีแนวโน้มกระทรวงการคลังจะพิจารณาจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อใหม่โดยอิงสูตรการคำนวณจากท่อก๊าซฯของบมจ.ปตท. ที่จัดเก็บ 5%ของรายได้ ทั้งที่เดิมบริษัทฯจ่ายค่าเช่าท่อให้กับกระทรวงการคลังในอัตรา 1%ของรายได้ โดยมีการทำสัญญาเช่าท่อล่วงหน้าไว้ 30 ปี หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 15 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯเห็นว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม

โดยยอมรับว่ามีท่อบางเส้นที่ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาอัตราค่าเช่ากับคลังไว้ แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยเจรจาได้ข้อสรุปที่อัตราค่าเช่า 3% ของรายได้ ซึ่งเส้นท่อดังกล่าวมีโอกาสที่คลังอาจจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงสูตรค่าเช่าของบมจ.ปตท. แต่ทั้งนี้ก็อยากให้คลังพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีการจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อเพิ่ม จะส่งผลให้บริษัทฯต้องผลักภาระนี้ไปให้ผู้ใช้น้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิคมอุตสาหกรรม การประปาส่วนภูมิภาค และโรงงานต่างๆในแถบภาคตะวันออก

แม้ว่าบริษัทจะปรับขึ้นราคาค่าน้ำในอัตราเฉลี่ย 12% แต่ก็ไม่ได้มีการรวมส่วนเพิ่มของค่าเช่าท่อ หากคลังจะจัดเก็บเพิ่ม จะทำให้ต้นทุนค่าน้ำเพิ่มขึ้น 25 สตางค์/ลบ.ม. สุดท้ายบริษัทฯต้องผลักภาระนี้แก่ผู้ใช้น้ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นด้วยปัจจุบัน บริษัทฯต้องเช่าท่อจากกระทรวงการคลัง ระยะทาง 100 กว่ากม. ซึ่งเป็นท่อเดิมที่กรมโยธาสร้างขึ้นมา ส่วนเส้นท่อที่เหลือส่วนใหญ่อีก 200 กม.เป็นการลงทุนจากบริษัทฯเองทั้งหมด

สำหรับแผนการลงทุน 3-5ปีข้างหน้า บริษัทฯจะใช้เงินประมาณ 4-5 พันล้านบาท ในธุรกิจประปา 2 พันล้านบาท ธุรกิจน้ำดิบ 2.6 พันล้านบาท และโรงไฟฟ้ามินิไฮโดรฯ 300 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนไม่น่าจะมีปัญหาเพราะบริษัทสามารถกู้แบงก์ได้อีก 1พันล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุนแค่ 0.55 เท่า ทำให้สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท ที่เหลือมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน

นางธิดารัชต์ กล่าวถึงกรณีที่บมจ.ผลิตไฟฟ้า(เอ็กโก)เข้ามาถือหุ้นกว่า 18%นั้นเป็นเรื่องที่ดี โดยมีโอกาสที่บริษัทฯจะจับมือกับเอ็กโกเพื่อทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต

มั่นใจขายหุ้นบ.ท่อได้มี.ค.นี้

นายประพันธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นในบริษัท อีสเทอร์น โฮบาส ไพพ์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตท่อน้ำว่า ขณะนี้บอร์ดบริษัทได้เร่งรัดให้ดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาขายหุ้นอีสเทอร์น โฮบาสฯลงจากเดิมที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 50%เหลือ 24%ให้กับพันธมิตรในประเทศคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.นี้ ขณะที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติอีกรายที่ถืออยู่ 50%ก็ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงโดยขายหุ้นในพันธมิตรรายใหม่เช่นเดียวกัน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในอีสเทอร์น โฮบาสฯนี้ เพื่อลดภาระการขาดทุน หลังจากที่บริษัทฯแบกภาระขาดทุนสะสมในบริษัทย่อยมาแล้ว 400 ล้านบาท เมื่อมีการขายหุ้นดังกล่าวไปจะทำให้การบันทึกขาดทุนสะสมลดลง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us