Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2543
เลือกลงทุน ยุคดอกเบี้ยต่ำ             
 


   
search resources

Investment




ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาประชาชนมีรายได้จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์อายุ 1 ปีไม่ต่ำกว่า 9-10% แต่ช่วงปี 2542 กลับได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 4.25-4.50% และปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 3.25-4%

"ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าว แม้ยังเป็นบวกหลังหักภาษี และเงินเฟ้อในปีนี้คาดว่าจะอยู่ระดับประมาณ 2.2-2.5% ก็ตาม แต่ผลตอบแทน สุทธิจะได้รับเหลือแค่ 0.25-1.20% อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้ม ลดต่ำลงไปอีกประมาณ 0.5% ในปีนี้" (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, ดอกเบี้ยขาลง : ออมอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด)

หมายถึงว่าผลตอบแทน ที่แท้จริง (Actual Return) ของผู้ออม ที่ฝากเงิน ไว้กับธนาคารพาณิชย์อาจจะถึงติดลบเมื่อเทียบกับระดับเงินเฟ้อ เพราะเป้า หมายของการออมหรือการลงทุน ที่แท้จริงอยู่ ที่การหาผลตอบแทนแล้ว "ชนะ" อัตราเงินเฟ้อ (ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ ที่ระดับ 4.98%)

ด้วยเหตุนี้ผู้ออมเงินจึงจำเป็นดิ้นรนหาช่องทาง และเกลี่ยเงินออกเป็น ส่วนๆ เพื่อแยกออมในรูปแบบต่างๆ เพื่อบริหารผลตอบแทนจากเงินออมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการออมในรูปการลงทุนในหลักทรัพย์ได้รับความสนใจมากขึ้น

ในช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ ได้ออกตราสารประเภทแคป และสลิป ส่งผลให้เงินฝากถูกโยกมาซื้อตราสารดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เพราะผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากเป็นเท่าตัว

"แค ปกับสลิปจะค่อนข้างจำกัดเรื่องระยะเวลา ที่ต้องการซื้อ และขาย บางครั้งสภาพคล่องไม่ค่อยมี รวมถึงตอนซื้อต้องใช้เงินหลายสิบล้านบาท แต่เวลาขายต้องทยอยขาย ถามว่ามีผู้ซื้อหรือไม่" วันเพ็ญ เลอร์แมน หัวหน้าฝ่าย การตลาด บล.ดีบีเอส ไทยทนุ กล่าว

ขึ้นศตวรรษใหม่ไม่เท่าไหร่รัฐบาลออกพันธบัตร สร้างความคึกคักให้กับ ประชาชน ที่สิ้นหวังกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่พันธบัตรรัฐบาลมีไม่เพียงต่อ ความต้องการสร้างความอกหัก ให้กับหลายๆ คน "พันธบัตรรัฐบาล ที่จะออกมาเรื่อยๆ ต้องดู ที่อายุ ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝากเราได้เท่าไหร่เมื่อหักภาษี แล้ว มาดูว่าพันธบัตรรัฐบาลถ้าหากมี อายุยาวๆ ต้องดูว่า compensate ได้ ไหม แ ต่ว่าคนที่ save จริงๆ สามารถลงทุนได้เพราะถือว่าปลอดภัย" ธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ดีบี เอสไทยทนุ กล่าว

การลงทุนในตลาดตราสารทาง การเงินไม่มีเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล เท่านั้น แต่ยังมีพันธบัตรอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปี 2543 จะมีการออกพันธบัตรภาครัฐ และเอกชนรวม 427 พันล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้เอกชนจำนวน 130 พันล้านบาท หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ของธนาคารพาณิชย์ 20 พันล้านบาท หุ้นกู้ ที่คาดว่าจะออกใหม่ เพื่อชดเชย ที่หมดอายุ 20 พันล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 257 พันล้านบาท

"ถ้าดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสามารถลงไปได้อีก แต่ต้องดูว่าจะลงทุนอะไรต้องคิดให้ดีเพราะถ้าดูเงินฝากมองดูเหมือนเป็นตลาดเงินระยะสั้น แต่ถ้ามองในระยะยาวจะเป็นตลาดพันธบัตร แต่ต้องดูธรรมชาติตลาดพันธบัตรด้วย คือ คาดว่าดอกเบี้ยจะลด ลงไปอีกน่าจะถึงกลางปี จากนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะสูงขึ้น" ธนวัฒน์กล่าว

เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าลงทุนในตราสารทางการเงิน และถือในระยะยาวจะ "ขาดทุน" เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น สมมติว่าพันธบัตรให้อัตราดอกเบี้ย 5% ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากลดลง พันธบัตรจะมีกำไรจากส่วนต่าง (capital gains) คือ มูลค่า ที่ซื้อขายในตลาดจะเพิ่มขึ้น แต่หากดอกเบี้ยในตลาดสูง กว่าดอกเบี้ยพันธบัตรมูลค่าของพันธบัตรจะลดลง ดังนั้น เมื่อลงทุนในตลาดตราสารควรเลือกลงทุนในพันธบัตร ที่มีอายุสั้นๆ

สิ่งที่เป็นอมตะอย่างหนึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยตกต่ำ คือ ตลาดหุ้นจะคึกคัก เนื่องจากการโยกเงินมาเล่นหุ้นเพราะต้นทุนทางการเงินต่ำจากแรงสนับสนุน ของระดับอัตราดอกเบี้ย ถ้าเลือกลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง ผลตอบแทนจะไม่สามารถประเมินได้ ในทางกลับกันความเสียหายก็ประเมินไม่ได้เช่นเดียวกัน

"ดังนั้น หากผู้ออมหรือนักลงทุน ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้นควรเลือกลงทุนผ่านกองทุน รวมตราสารทุน (Equity Fund) เป็นกองทุน ที่มีนโยบาย ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก เพื่อสร้างผลตอบแทนจากกำไรส่วนต่างหรือเงินปันผล (Dividend) เหมาะสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ในการเลือกลงทุน และไม่มีเวลาการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวจะมีผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ช่วยกรองความเสี่ยง อีกขั้นหนึ่ง อันเป็นการลดการขาดทุนจากราคาหุ้นตกได้ ส่วนหนึ่ง ซึ่งดีกว่าการซื้อหุ้นโดยตรง" (ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์, ทางเลือกลงทุน กับ ธนาคารพาณิชย์)

การลงทุนในตลาดตราสารทางการเงินโดยปกติแล้วเหมาะสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องวงเงิน โดยที่การระดมทุนในตราสารหนี้ส่วนใหญ่ เป็นการขายให้กับนักลงทุนสถาบัน หากเป็นบุคคลธรรมดาต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ดังนั้น ผู้ออมรายย่อยถ้าสนใจต้องลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ (Fixed-income Fund)

กองทุนดังกล่าวจะลงทุนเฉพาะในพันธบัตรรัฐบาลอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าต้องการอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอีกเล็กน้อยก็เลือกลงทุนในกองทุน ที่ลงทุนในหุ้น กู้ภาคเอกชน โดยเน้นการลงทุนในระยะปานกลาง และระยะยาว ส่วนความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนตราสารทุน ขณะเดียวกันผลตอบแทนจะเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงค่อนข้างสม่ำเสมอ จึงอาจได้รับผลตอบแทนต่ำกว่ากองทุนตราสารทุน ในช่วง ที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น

ในช่วงปีที่ผ่านมาผลตอบแทนจากกองทุนตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ ที่ระดับ ประมาณ 9% คาดว่าปีนี้ผลตอบแ ทนจะลดต่ำลงเหลือ 6-8% แต่ยังถือว่าสูงกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก และพันธบัตรรัฐบาล

"อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งผู้ลงทุนหรือผู้ออมจะต้องแบกรับไม่ต่างจากการลงทุนซื้อหุ้น ที่ราคาปรั บตัวขึ้นลงเกือบตลอดเวลา แต่ด้วยความเสี่ยง ที่มากกว่า เงินฝากทำให้การลงทุนหรือออมในตราสารหนี้กำหนดอัตราผลตอบแทนไว้ค่อนข้างสูง จึงคาดว่าปีนี้น่าจะเป็นปีทองกองทุนตราสารหนี้" (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

นอกจากนี้ยังมีกองทุน ที่มีความเหมาะสมแก่การลงทุนในภาวะปัจจุบัน เรียกว่า Flexible Fund เพราะหากเป็นกองทุนหุ้นทุน ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งกฎไว้ว่าต้องลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่า 65% หรือหากเป็นกองทุนตราสารหนี้ต้องลงทุนในตราสารหนี้ทั้งหมด

ขณะที่ Flexible Fund สามารถ ลงทุนได้ทั้งหุ้นทุน และตราสารหนี้ ตั้งแต่ 0%-100% ฉะนั้น สามารถเคลื่อนย้ายเงินลง ทุนได้คล่องตัว หากตลาดหุ้นดีก็จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้น หากตลาดหุ้นไม่ดีก็ย้ายมาลงในตราสารหนี้ได้

กองทุนดังกล่าวจะดีกว่ากองทุนหุ้นทุนในแง่ความยืดหยุ่นของการเคลื่อนย้ายการลงทุน เหมาะสำหรับผู้ออมหรือนักลงทุน ที่ไม่ชอบเสี่ยง (Risk- averse Investors) และต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว

สำหรับผู้ออมหรือนักลงทุน ที่มีเงิน "เย็น" การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง การลงทุนซื้อ ที่ดินนั้น ถึงแม้ว่าการซื้อในปีนี้ จะได้ราคาต่ำค่อนข้างสมเหตุสมผล อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการโอน ที่ดินถึงสิ้นปีที่ลดหย่อนให้เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน ประกอบกับราคาประเมินท ี่ดินลดลงโดยเฉลี่ย 15-35% ก็จะยิ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ ส่วนการซื้อ ที่ดิน เพื่อเก็งกำไรเหมาะสำหรับผู้มีเงินก้อนใหญ่ ดังนั้น ควรรอบคอบในการเลือกทำเล

เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ฝากเงินหรือนักลงทุนไม่ต้องกังวลกับการตกต่ำของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ยังมีช่องทางอีกมากมายสำหรับการหาผลตอบแทน ยิ่งในอนาคตยังมีช่องทางการลงทุนหลากหลายรูปแบบออกมายั่วน้ำลาย อาทิ การซื้อขายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ล่วงหน้า การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือตลาดอนุพันธ์

ดังนั้น ควรเตรียมตัว และจัดสรรเงินให้ดี ไม่เช่นนั้น เงินออม ที่เก็บไว้อาจจะสูญหายไป ซึ่งวันเพ็ญกล่าวเตือนว่า "การลงทุนทุกอย่างไม่ใช่มี "กำไร" อย่างเดียว แต่คุณจะสามารถหยุดความเสี่ยงได้แค่ไหน หรือ stop loss ที่จะเกิดขึ้นตรงนั้น "

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us