ราคาเหล็กพุ่ง 30% “พฤกษา” รับกระทบต้นทุน 1.4-2% ระบุ 3 เดือนแรกยังไม่กระทบเหตุสั่งซื้อล่าวงหน้า คาดไตรมาส 2 กระทบเตรียมขยับราคาบ้าน-คอนโดฯใหม่ ส่วนวัสดุก่อสร้างใช้วิธีประมูลซื้อ พร้อมยันยังผลิตบ้านบีโอไอแต่สัดส่วนน้อยลง ปี 51 ตั้งงบซื้อที่ดินเพิ่ม 2,000 ล้านบาท
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้แก้ไขด้วยการประมูลซื้อวัสดุเพื่อให้ได้ราคาต่ำ รวมไปถึงการสั่งซื้อล่วงหน้า ทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการของบริษัทไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เช่น ปูนซีเมนต์จะทำสัญญาล่วงหน้า 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาเหล็กซึ่งคิดเป็น 15% โครงสร้างนั้น ได้ปรับขึ้นสูงถึง 30% จนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างมาก สำหรับพฤกษาได้ใช้วิธีสั่งซื้อล่วงหน้า 3 เดือน ทำให้ใช้เป็นต้นทุนเดิมอยู่ แต่ในไตรมาส 2 จะต้องซื้อเหล็กในราคาใหม่ ซึ่งราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อราคาขายประมาณ 1.4-2% ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 บริษัทจะเริ่มขายสินค้าในราคาใหม่ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% เพื่อป้องกันความเสี่ยง
“ที่เกรงว่าราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อโครงการคอนโดฯ เนื่องจากเป็นการขายก่อนก่อสร้าง เชื่อว่าจะเกิดกับผู้ประกอบการที่ไม่ได้ประมูลก่อสร้างหรือล็อคราคาวัสดุในช่วงเริ่มต้น ทำให้ค่าก่อสร้างขยับขึ้นตามราคาสินค้าในช่วงนั้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง ส่วนที่เกรงว่าคอนโดฯ ราคาถูก30,000-40,000 บาท/ตร.ม.จะไม่สามารถก่อสร้างได้ เชื่อว่าหากซื้อที่ดินในราคาไม่เกิน 10,000-15,000 บาท/ตร.ว. สามารถก่อสร้างได้ เพราะต้นทุนก่อสร้างขณะนี้อยู่ที่ ตร.ม.ละประมาณ 14,000 บาท”
นายทองมา กล่าวว่า ในปีนี้ 51 บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 40 โครงการ ล่าสุดได้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาแล้ว 20 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท ตามแผนจะเปิดตัวในไตรมาส 1/51 ประมาณ 15 โครงการมูลค่า 7,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการคอนโดฯจะเปิดโครงการขนาดเล็ก มูลค่ารวมเฉลี่ยประมาณ 500 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 1-2 ไร่ ขณะที่ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวจะมีขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30-40 ไร่ ทำให้รอบหมุนของการพัฒนาเร็วขึ้น ปัจจุบันใช้เวลาก่อสร้างจนกระทั่งส่งมอบ 3 เดือน 20 วัน จากเดิม 4-6 เดือน
ในปีนี้ พฤกษาฯตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 14,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ 8,145 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ จำนวน 5,254 ล้านบาท ที่เหลือ 2,891 ล้านบาทรับรู้ในปี 52 โดยมีสินค้ารอขายรวมทั้งสิ้น 11,915 ยูนิต มูลค่า 18,547 ล้านบาท จากทั้งหมด 54 โครงการ ส่วนผลประกอบการในปี 50 บริษัทมีรายได้รวม 9,093 ล้านบาท เติบโตจากปี 2549 ประมาณ 91% กำไรสุทธิประมาณ 1,270 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน
|