Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2535
"อีซูซุจะกลับมาเป็นผู้นำรถปิกอัพ ?"             
 


   
search resources

Automotive
Toyota
อีซูซุ มอเตอร์ ประเทศไทย, บจก.




ข่าวคราวเกี่ยวกับการแข่งขันของตลาดรถยนต์โดยเฉพาะรถบรรทุก 1 ตันหรือโดยทั่วไปมักเรียกกันว่า "ปิกอัพ" ซึ่งปรากฏสู่สาธารณชนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยังความสนใจให้กับบรรดานักเลงรถทั้งหลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เพราะนอกจากราคาของรถปิกอัพจะลดลงถึงคันละประมาณ 10,000 บาทโดยเฉลี่ยแล้วก็ตาม ในแง่ของผู้ค้าผู้ผลิตรถปิกอัพนี้ก็เริ่มปรากฏลูกเล่นในการขายรถ เพื่อการส่งเสริมการตลาดของตนเองสู่การแข่งขันชิงชัยความเป็นผู้นำตลาดรถปิกอัพในปี 2535 นี้ให้ได้

ตัวเลขคาดการณ์ตลาดรวมของรถปิกอัพในประเทศอีก 5 ปีข้างหน้านี้ คาดกันว่าจะมีปริมาณสูงถึง 300,000 คันเฉพาะในปีนี้ยอดขายจะสูงถึง 200,000 คันสูงกว่าปีที่ผ่านมานับว่าการขยายตัวของตลาดรถได้โตขึ้นประมาณ 28.7% ซึ่งคนในวงการคาดกันว่าจะเป็นปีสุดท้ายของการเจริญเติบโตสุดขีดของตลาดรถปิกอัพเลยทีเดียว

ปีหน้าตลาดจะมีอัตราถดถอยลงเป็นลำดับ แม้ว่าปริมาณยอดขายจะมีเพิ่มขึ้นทุกปีก็ตาม แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

จากการคาดการณ์ดังกล่าวจึงมีผลทำให้บรรดาผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายต่างเร่งระดมความคิดความสามารถในการวางกลยุทธ์การขาย และวางแผนการผลิตให้เหมาะสมกับแนวโน้มของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการปรับตัวดังกล่าวของค่ายรถต่าง ๆ มีผลสะท้อนต่อการแข่งขันในตลาดอย่างยิ่ง

ค่ายรถโตโยต้าในช่วง 2 เดือนหลังก่อนสิ้นปีที่แล้ว สามารถถีบตัวขึ้นสู่อันดับ 1 ได้เป็นผลสำเร็จครองสัดส่วนตลาดประมาณ 30.0% ของตลาดรถปิกอัพในขณะที่ค่ายอีซูซุตกลงมาอยู่ที่ 28.6% ซึ่งเมื่อปี 33 ค่ายอีซูซุครองสัดส่วนการตลาดรถปิคอัพอยู่ประมาณ 28.1% ส่วนโตโยต้าครองอันดับ 2 ประมาณ 28.0%

คนในวงการรถกล่าวว่าอีซูซุครองความเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 มานานนับจากปี 2528 เป็นต้นมา อันเป็นปีที่อีซูซุปรับเปลี่ยนรูปแบบของรถและเครื่องยนต์โดยการนำระบบไดเรกต์อินเจกชันมาใช้ ซึ่งเป็นระบบห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลแบบล่าสุดที่พัฒนาขึ้นทางด้านการสูบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในห้องเผาไหม้บนหัวสูบโดยตรง ทำให้การจุดระเบิดได้พลังงานเต็มที่จนเกิดการประหยัดเชื้อเพลิงหรือประหยัดน้ำมันได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับรถยี่ห้อต่าง ๆ (ตัวเลขดังกล่าวเป็นผลการวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ บางมดเมื่อปี 2528)

การปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์และเปลี่ยนแปลงรูปทรงตัวถังใหม่มีผลทำให้ยอดขายของรถอีซูซุบูมสุดขีดในตลาดนับแต่นั้นมา นอกจากนี้อีซูซุยังได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคามาเป็นยุทธวิธีในการสู้รบในตลาดรถปิกอัพ

คือการตั้งราคาสูงเพื่อภาพพจน์ที่เหนือกว่ารถยี่ห้ออื่น ๆ ในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 30 เศรษฐกิจรุ่งเรืองสุดขีดยิ่งกลายเป็นยุคทองของอีซูซุไปและสามารถครองสัดส่วนการตลาดเป็นอันดับ 1 หลังจากที่ไม่เคยได้รับความนิยมจากตลาดมานาน

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนก่อนสิ้นปี อีซูซุก็ได้เสียตำแหน่งแชมป์ที่ครองติดต่อกันมาถึง 5 ปีให้กับโตโยต้าไปด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีรถ ทำให้อีซูซุต้องปรับตัวและลดกำลังการผลิตลงเพื่อให้เป็นไปตามแนวโน้มของตลาด

ในขณะที่ยี่ห้อคู่แข่งโดยตรงก็ยังมีปริมาณการผลิตที่เหมือนเดิมและเร่งระดมการขายรถในช่วงนั้นอย่างหนัก มีทั้งลดแถมกันสนั่นหวั่นไหว โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ซื้อกำลังสับสนเรื่องราคาและรอดูตลาดเพื่อให้แน่ใจว่าได้มีการปรับราคาลงตามที่รัฐบาลประกาศหรือไม่ โตโยต้าโต้กระแสนี้ด้วยมาตรการประกันราคาขาย คือหากมีการลดราคามากกว่าที่ตนกำหนดยินดีที่จะคืนเงินให้กับผู้ซื้อทันที

การไต่อันดับส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าในครั้งนี้ คนในวงการเล่าว่าโตโยต้าใช้ช่วงจังหวะของความสับสนวุ่นวายในกลุ่มผู้ซื้อและผู้ผลิต อันมีผลสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หยุดชะงักรอดูตลาด ส่วนผู้ผลิตโดยเฉพาะอีซูซุกลับลดจำนวนการผลิตเพื่อรอดูรัฐบาลว่าจะเดินหน้าต่อหรือหยุดฟังคำทักท้วงเรื่องอัตราภาษีที่มีการเรียกร้อง ขณะเดียวกันก็ปรับจำนวนการผลิตเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การหยุดซื้อของผู้ซื้อในขณะนั้น

"ตามปกติปริมาณรถอีซูซุมักไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ซื้ออยู่แล้ว ในการซื้อรถอีซูซุแต่ละคันผู้ซื้อจะต้องรอรถหลายวันกว่าจะได้รถมาใช้ เมื่อลดปริมาณการผลิตลงอาการรอรถก็ยังคงอยู่ผู้บริโภคหลายรายที่เกิดความเบื่อหน่ายวิธีการเช่นนี้ของอีซูซุ ก็หันไปหายี่ห้ออื่น ๆ ในช่วงที่รถลงราคาทันที" แหล่งข่าวจากคนในวงการเล่าพาดพิงไปถึงการพลาดท่าของอีซูซุ

"ยอมรับว่าอีซูซุได้ลดจำนวนการผลิตลงจาก 4,500 คันต่อเดือนเป็น 3,500 คันและ 3,000 คันในเดือนสุดท้าย แต่ปัจจุบันนี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติของปริมาณการผลิตที่ตั้งไว้ทุก ๆ เดือนแล้วซึ่งการลดจำนวนการผลิตลงนี้เราทำเพื่อปรับให้เป็นไปตามสภาวะตลาดที่เป็นอยู่ในตอนนั้น คือปริมาณความต้องการของผู้บริโภคลดลง

จังหวะนี้เองที่ทำให้โตโยต้ารุดหน้าไปได้เพราะเขาไม่ลดกำลังการผลิต ขณะเดียวกันเขาก็เร่งจำหน่ายออกไปโดยทุกวิถีทางที่จะทำได้ ดังนั้นจึงยอมรับว่าเราเสียตลาดให้กับคู่แข่งไปก็เพราะความสับสนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเท่านั้น เพราะนับจากนี้ต่อไป อีซูซุจะเร่งพัฒนาเครื่องยนต์ที่เรามีอยู่เหนือกว่าและเป็นผู้นำด้านเครื่องยนต์ดีเซลมาตลอดอยู่แล้วให้แข็งแกร่งกว่าเดิม" แหล่งข่าวจากคนเก่าแก่ของค่ายอีซูซุกล่าวยอมรับกับ "ผู้จัดการ"

อย่างไรก็ตามตลาดรถกำลังเริ่มเข้าสู่กระแสฟื้นตัวตั้งแต่เริ่มปีใหม่เป็นต้นมา ราคารถยี่ห้อต่าง ๆ เริ่มเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อมากขึ้น ขณะเดียวกันการพัฒนาและปรับปรุงเครื่องยนต์ได้กลายเป็นหัวหอกของการตัดสินใจซื้อไม่แพ้ราคาเช่นกัน

ดังนั้นค่ายผู้ผลิตรถต่าง ๆ จึงเร่งระดมกำลังความคิดพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อเป็นกลยุทธ์เด็ดในการต่อสู้ในตลาดนับจากนี้ต่อไป ซึ่งโตโยต้าในช่วงนี้ชิงทำการประชาสัมพันธ์ตนเองอย่างมาก ว่าได้พัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลให้เหนือกว่าคู่แข่งหรือก้าวล้ำหน้าคู่แข่งถึง 2 ขั้นด้วยกันทั้ง ๆ ที่คู่แข่งเองกลับบอกว่าคำว่าก้าวล้ำหน้าคู่แข่งถึง 2 ขั้นของเขาคือของเราในตอนนี้

ทางโตโยต้าอธิบายถึงการพัฒนาขั้นตอนที่ก้าวล้ำหน้าคู่แข่งไปแล้ว 2 ขั้นคือ ขั้นแรกระบบไดเรกอินเจกชั่นที่คู่แข่งเคยเป็นผู้นำในการนำมาใช้ในตลาดก่อนยี่ห้ออื่น ๆ นั้น ในปัจจุบันนี้โตโยต้าได้นำจุดแข็งของระบบไดเรกต์อินเจกชั่นให้กลายเป็นจุดบอดเพื่อผลในการแข่งขันของตลาดในปีนี้ แหล่งข่าวจากโตโยต้าอธิบายว่า

"ระบบไดเรกต์อินเจกชั่นก่อให้เกิดมลภาวะและเกิดควันดำอันเนื่องมาจากการเผาไหม้ไม่หมดซึ่งจะมีผลทำให้อัตราเร่งต่ำเสียงดัง ขณะเดียวกันหัวฉีดน้ำมันจะเกิดอาการอุดตันได้ง่ายทั้งนี้เพราะความจำเป็นในการที่จะฉีดน้ำมันให้เป็นฝอยกระจายให้มาก หัวฉีดจึงเล็กและเกิดการอุดตันรวมทั้งสึกหรอได้ง่าย"

ปัจจุบันนี้โตโยต้าได้นำระบบสเวิร์ลแชมเบอร์ เข้ามาใช้เป็นระบบการแบ่งห้องเผาไหม้ 2 ห้องคือจะมีการจุดระเบิดและเผาไหม้ส่งไปยังห้องเผาไหม้รองก่อนแล้วจึงจุดระเบิดซ้ำอีกครั้งและส่งไปยังห้องเผาไหม้หลัก ซึ่งระบบนี้จะเห็นว่าเป็นการจุดระเบิด 2 ครั้งช่วยกันเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงไม่เกิดควันดำและไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ตามมาอีกด้วย ขณะเดียวกันก็มีอัตราเร่งสูง การเดินเครื่องเงียบ

ส่วนขั้นตอนที่ 2 คือการใช้ระบบ DIRECT DRIVE เป็นการใช้แครงก์ชาฟต์ขับวาล์วขั้นตอนเดียวซึ่งเป็นระบบที่ใช้กับรถเก๋งแต่นำมาใช้กับรถปิคอัพทำให้มีน้ำหนักเบา การตอบสนองของเครื่องเป็นไปในลักษณะเร็วและแรง นอกจากนี้การปิดเปิดวาล์วยังเป็นในลักษณะที่แม่นยำกว่าอีกด้วย ซึ่งในขณะที่โตโยต้านำระบบนี้มาใช้อีซูซุยังคงเป็นระบบโอเวอร์เฮดวาล์ว

ทางโตโยต้ากล่าวว่าระบบโอเวอร์เฮดวาล์วนี้มีการตอบสนองช้า อัตราเร่งต่ำทำให้สูญเสียพลังงาน มีตัวชิ้นส่วนต่าง ๆ ประกอบมาก น้ำหนักมาก เสียงดัง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบไดเร็กต์อินเจกชั่นหรือระบบโอเวอร์เฮดนั้นเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถบรรทุกแต่ระบบของโตโยต้าได้พัฒนามาจากรถเก๋ง

ว่ากันตามจริงแล้วไม่ว่าใครจะดีกว่าใครแต่จากจุดนี้ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่า นับจากนี้ต่อไปแนวทางการแข่งขันของตลาดรถในปัจจุบัน คือการพัฒนาเครื่องยนต์ให้ก้าวล้ำนำหน้ากันมากกว่าที่จะแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตามโตโยต้าก็ได้ประกาศว่าจะครองอันดับ 1 ให้ได้ทั้งตลาดรถเก๋งและรถปิกอัพหรือตลาดโดยรวมก็ตาม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นปีนี้โตโยต้าจะเป็นปีที่ 13 ของการครองอันดับ 1 ในตลาดรถทุกประเภทได้ ในขณะที่อีซูซุก็ตั้งเป้าไว้ว่าขอกลับคือสู่บัลลังก์เดิม

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us