บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจในหลายปีที่ผ่านมามีชื่อในเรื่องการทำอันเดอร์ไรต์หุ้นเข้าตลาดอย่างมาก
ๆ มีหุ้นหลายตัวที่ภัทรฯ พาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วเจอปัญหาทางเทคนิคโดยเฉพาะเรื่องราคา
เป็นเหตุให้นักลงทุนจำนวนมากพากันโวยวาย
แต่กระนั้นภัทรฯ ก็เป็นผู้ครองแชมป์การทำอันเดอร์ไรต์ในปี 2534 ที่ผ่านมา
ด้วยการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ 8 ราย และทำอันเดอร์ไรต์หุ้น PO อีก
3 ราย (ดูตารางหุ้นสามัญที่ภัทรฯ เป็น LEAD UNDERWRITE ปี 2534)
บรรยงค์ พงษ์พานิช รองกรรมการผู้จัดการ บงล. ภัทรธนกิจ จก. เปิดเผยกับ
"ผู้จัดการ" ว่า "การทำอันเดอร์ไรต์ในความหมายของภัทรฯ ไม่ได้หมายความว่าการเข้าไปรับประกันแต่หมายถึงการจัดให้ลูกค้าระดมเงินจากตลาดได้
ภัทรฯ เป็นตัวกลางในการระดมเงินให้กับบริษัท ผมภูมิใจมากว่าภัทรฯ ทำอันเดอร์ไรต์มาประมาณ
5 ปี นำบริษัทเข้าตลาดประมาณ 60 กว่าราย ยังไม่เคยถูกปฏิเสธแม้แต่บริษัทเดียว"
ในช่วงปี 2531-2533 ภัทรฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอันเดอร์ไรต์สูงมากถึง 40%
แต่ปี 2534 บรรยงค์มองว่ามาร์เก็ตแชร์ของภัทรฯ ลดลง เขาให้เหตุผลว่า "มันเป็นนโยบายของบริษัทและเราเตรียมตัวไว้แล้วด้วย
คือเราเน้นเรื่องคุณภาพมากขึ้น เมื่อเน้นตัวนี้ งานก็ช้าลง ภัทรฯ ใช้เวลาประมาณ
5-6 เดือนในการที่จะเข้าไปดูไปช่วย ให้แน่ใจว่าระยะยาวแล้วจะดีสำหรับลูกค้าและเรามีการเลือกลูกค้าด้วย
เราจะทำให้เมื่อเห็นว่าบริษัทลูกค้าอยู่ในขั้นตอนที่เหมาะสม"
ภัทรฯ จะไม่ทำอันเดอร์ไรต์บริษัทที่มีวงเงินต่ำกว่า 200 ล้านบาท กล่าวง่าย
ๆ คือ DEAL เล็ก ๆ จะไม่ทำ บรรยงค์เปิดเผยว่า "DEAL ที่ภัทรฯ ภูมิใจมากที่สุดคือการทำ
PO หุ้นธนาคารกสิกรไทยเพราะเป็นการขายหุ้นในช่วงที่ภาวะไม่ดีทั้งหมดมี 10
ล้านหุ้น แบ่งขายให้นักลงทุนต่างประเทศ 2.5 ล้านหุ้นและนักลงทุนในประเทศ
7.5 ล้านหุ้น ปรากฏว่าภัทรฯ สามารถขายได้หมด โดยนักลงทุนที่เป็นนักเล่นหุ้นนี่แทบจะไม่ซื้อเลย
ภัทรฯ จึงปรับเอาวิธีการขายของต่างประเทศมาใช้คือ ขายให้คนธรรมดาสามัญ ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนประเภทที่เรียกว่า
SLEEPY INVESTOR คือนักลงทุนที่ไม่ได้เล่นหุ้น เราพยายามชักชวนให้เขาเข้ามาลงทุนโดยการออกเอกสารและพูดคุยกับพวกเขา"
ผลจากการขายหุ้นกสิกรไทยได้หมดทำให้ภัทรฯ ได้เห็นข้อเท็จจริงที่เป็นแนวโน้มของธุรกิจหลักทรัพย์ประการหนึ่งคือ
ยังมีนักลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก บรรยงค์ให้เหตุผลว่า "เงินฝากทั่วประเทศทั้งหมดมีอยู่
1.5 ล้านล้านบาทแต่เงินที่มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยนักลงทุนรายบุคคลมีประมาณแสนกว่าล้านบาทเท่านั้น
ผมคิดว่าเรายังสามารถตั้งเป้าหมายกับนักลงทุนเหล่านี้ได้อีกมาก"
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าหุ้นธนาคารมีลักษณะเฉพาะต่างไปจากหุ้นกลุ่มอื่น
ๆ ที่สำคัญคือเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีและเป็นที่นิยมของนักลงทุนระยะยาว
แต่มีหุ้นบางตัวที่ภัทรฯ อันเดอร์ไรต์เข้าไปในตลาดแล้วราคาตก เช่น หุ้นโรงพยาบาล
2 ตัว บรรยงค์ให้ความเห็นในเชิงปกป้องตัวเองว่า "ผมก็สงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น
เพราะผมมองว่าหุ้นโรงพยาบาลเป็นกลุ่มที่เรียกว่า DEFENSIVE STOCK คือเป็นหุ้นที่ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจผันผวนอย่างไรเขาก็กำไรของเขาอย่างนั้น
เพราะกิจการโรงพยาบาลไม่เกี่ยวกับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาวะเศรษฐกิจผันผวน
ดังนั้นนักลงทุนควรจะมีหุ้นกลุ่มนี้ไว้ใน PORTFOLIO"
นั่นเป็นความเชื่อของบรรยงค์เมื่อทำอันเดอร์ไรต์หุ้นโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าเขาพบในเวลาต่อมาว่านักลงทุนรายบุคคลที่ซื้อหุ้นโรงพยาบาลไป
จะขายหุ้นภายใน 5 วันทำการแรกที่มีการซื้อขาย และเขายังพบด้วยว่าปัญหาเชิงเทคนิคของหุ้นโรงพยาบาลก็คือ
โรงพยาบาลแทบทุกแห่งใน กทม. สร้างขึ้นโดยมีผู้ถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จะไม่มีใครถือหุ้นใหญ่แต่เพียงรายเดียว
เมื่อหุ้นโรงพยาบาลที่นักลงทุนรายบุคคลเหล่านี้เคยถือไว้ในราคา 100 บาท ครั้นเวลาผ่านไป
8 ปีมีราคาขึ้นมาเป็น 100 กว่าบาทเมื่อเข้าตลาดหุ้น นักลงทุนเหล่านี้ย่อมขายหุ้นของตัวออกไปเป็นธรรมดา
ข้อสรุปเหล่านี้บรรยงค์ได้จากผลการวิจัยของสถาบันวิจัยภัทรธนกิจ ซึ่งเขามองว่ามันเป็นปัญหาทางเทคนิคระยะสั้นบรรยงค์พยายามใช้กลไกที่ภัทรฯ
มีอยู่คืองานวิจัยของสถาบันวิจัยฯ เป็นตัวเคาน์เตอร์ปัญหาเรื่องนี้
เขากล่าวว่า "สิ่งที่ภัทรฯ ทำได้มีทางเดียวคือพยายามโปรโมตความเชื่อของเราออกไปทางงานวิจัยว่าหุ้นโรงพยาบาลเป็นหุ้นที่ดี
เป็น DEFENSIVE STOCK กำไรจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอนเป็นธุรกิจที่จะมีอัตราการเติบโตสูงในระยะสั้นเพราะ
รพ. มีไม่เพียงพอกับอัตราการเจ็บป่วยของคน แม้ว่าระยะยาวอาจจะลดลงก็ตามเมื่อมีการสร้าง
รพ. มากขึ้น ผมพยายาม DEFEND อันนี้ออกไปซึ่งก็ได้ผล แม้จะใช้เวลาสักหน่อยก็ตาม"
ว่าไปแล้วโบรกเกอร์ก็มีกลไกหลายอย่างในการที่จะแก้ไขปัญหาสารพัดที่เกิดจากการอันเดอร์ไรต์หุ้น
บรรยงค์ยืนยันว่าเขามีวิธีการมากมายแต่ไม่ใช่การโยนราคาการปั่นราคาที่เป็นเรื่องผิดกฎหมายแน่
เขาเปิดเผยวิธีการทำอันเดอร์ไรต์หุ้นซึ่งเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในแผนกวาณิชธนกิจที่เขาดูแลอยู่ว่า
"เมื่อมีลูกค้ามาหา เราจะคัดเลือกและให้ความเห็นก่อนว่าบริษัทนั้น อยู่ในภาวะเหมาะสมหรือยัง
แข็งแรงพอที่จะเข้าตลาดและได้ประโยชน์ระยะยาวหรือยัง การยอมรับจากนักลงทุนจะมีหรือไม่
หากเราคิดว่าเขาควรจะรออีกสักปีสองปีจะเป็นประโยชน์ทั้งเขาและนักลงทุน เราก็จะบอกให้เขารอ"
การพิจารณาบริษัทลูกค้าในขั้นเริ่มต้นนี้เป็นความเห็นเฉพาะของคนภัทรฯ ซึ่งบรรยงค์เชื่อมั่นว่า
"ผมไม่ได้บอกว่าผมคิดถูก แต่ภัทรฯ จะมีมาตรฐานของตัวเอง"
ขั้นตอนหลังจากที่รับตกลงเป็นอันเดอร์ไรต์แล้ว จะมีการดูโครงสร้าง 2 ส่วนคือด้านธุรกิจ
(BUSINESS STRUCTURE) ดูว่าบริษัทนั้น ๆ มีกิจการอะไรบ้าง ควรจะรวมกิจการที่เกี่ยวข้องเข้ามาไว้ด้วยกันเพื่อเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์
พร้อมกันไปเลยหรือไม่ ทำอย่างไรจะไม่เกิด CONFLICT OF INTEREST
บรรยงค์ยกกรณีกลุ่มของ ป. เจริญพันธ์ ซึ่งเป็นหุ้นตัวแรกที่ภัทรฯ ทำอันเดอร์ไรต์ในปีนี้ว่า
"ผมเอาบริษัทที่เกี่ยวข้องในสายการผลิตเดียวกันมารวมไว้ด้วยกัน โดยมีบริษัทอยู่ประมาณ
10 แห่ง ผมจับเอามาถือหุ้นกัน 100% ทั้งหมด ยกเว้นอาหารสัตว์ถือ 60% เพราะเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แล้ว เมื่อทำอย่างนี้นักลงทุนก็จะมองเห็นว่าหากเขาซื้อหุ้นตัวนี้ก็สามารถซื้อได้ทั้งกลุ่ม
เจ้าของจะยักย้ายถ่ายเทอย่างไรก็อยู่ในกลุ่มนี้แน่ไม่มีทางไปไหน"
หลังจากดูโครงสร้างกินการแล้วก็มาดูเรื่องโครงสร้างทางการเงิน (FINANCIAL
STRUCTURE) ซึ่งเป็นเรื่องตัวเลขต่าง ๆ เช่นดูว่าธุรกิจประเภทนี้ควรจะมีหนี้เท่าไหร่
มีทุนเท่าไหร่ ระยะยาวควรจะเป็นอย่างไร จากนั้นอันเดอร์ไรต์จะแนะนำว่าควรจะมีการขายหุ้นเท่าไหร่
แล้วจึงทำการยื่นเอกสารขอเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขั้นตอนถัดมาเป็นการขายหุ้น (PLACEMENT) ซึ่งภัทรฯ มีวิธีการที่ซับซ้อนพอสมควร
บรรยงค์เล่าว่า "มีการทำวิจัยและจัดสรรหุ้นว่าจะขายให้นักลงทุนในประเทศ/ต่างประเทศกี่ส่วนนักลงทุนสถาบัน/รายบุคคลกี่ส่วนเราจะ
CREATE ให้เกิดราคาที่สมควรผมไม่พอใจหากขายออกไปแล้วหุ้นราคาตก หรือมีราคาพุ่งขึ้นสูงมากก็ไม่ดีเพราะเท่ากับว่าคนจองถือไว้ไม่นานก็ได้กำไรมากมาย
ผมว่ามันไม่ยุติธรรมต่อผู้ถือหุ้นเดิม คนจองควรจะได้ 10%-20% ต่อเดือนก็มหาศาลแล้ว"
นอกจากทำวิจัยแล้ว ยังมีการทำกึ่ง ROADSHOW เป็นเอกสารหรือพานักลงทุนที่เป็นสถาบันไปเยี่ยมชมโรงงานมีการพัฒนา
SYNDICATION DESK ที่มีหน้าที่ประเมินความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนประเภทต่าง
ๆ และจัดสรรไปตามความต้องการนั้น และยังมีการพัฒนาเรื่อง BOOK RUNNING ตามมาด้วย
คือเมื่อมีการ SYDICATION ออกไปแล้วหรือตั้งเป้าหมายไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง
ๆ ไม่เป็นไปตามนั้น BOOK RUNNING มีหน้าที่ที่จะปรับทุกอย่างให้ลงตัวให้ได้
บรรยงค์กล่าวว่า "เครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตลาดต่างประเทศ
ผมเพียงเอามาดัดแปลงให้เข้ากับตลาดไทยเท่านั้นพอทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก็สามารถขายหุ้นได้หมด
หลังจากนั้นเป็นปัญหาของตลาดหุ้นไทยคือใช้เวลาประมาณ 45 วันกว่าจะได้เข้าไปซื้อขาย
สิ่งที่ภัทรฯไม่ได้ทำในอดีตคือไม่ค่อยได้เข้าไปทำหุ้นนอกตลาด ซึ่งต่อไปภัทรฯ
อาจจะทำตัวนี้ก็ได้ คือพยายามจะเป็นสะพานของดีมานด์ซัพพลายอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ใช่การปั่นหุ้นครับ"
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการโปรโมชั่น ด้วยการออกงานวิจัยนัดนักวิเคราะห์จากที่ต่าง
ๆ ไปพบบริษัทอย่างต่อเนื่อง พยายามสร้างมาตรฐานเพื่อให้ข้อมูลเผยแพร่ออกไปอย่างถูกต้องและทั่วถึง
งานอันเดอร์ไรต์ 4 ขั้นตอนนี้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของงานวาณิชธนกิจซึ่งมีพนักงานอยู่ทั้งหมด
22 คน ฝ่ายนี้ตั้งมานาน 6 ปี ทำธุรกิจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานวาณิชธนกิจ
เช่น เป็นที่ปรึกษา ทำอันเดอร์ไรต์ โปรเจกต์ไฟแนนซ์ การร่วมลงทุน (JOINT
VENTURE) การซื้อขายกิจการ (MERGER&ACQUISITION) การปรับโครงสร้างกิจการ
(CORPORATE RESTRUCTURING) เป็นต้น
บรรยงค์เน้นว่าฝ่ายวาณิชธนกิจของเขาจะไม่เติบโตแบบพรวดพราด "ผมเน้นเรื่องการฝึกอบรมคน
ผมจะจ้างคนที่มีประสบการณ์มาฝึก เพราะภัทรฯ มีวัฒนธรรมองค์กรของตัวเองผมต้องการเน้นเรื่องคุณภาพบริษัทอื่น
ๆ ที่ทำอันเดอร์ไรต์นั้นส่วนมากจะใช้คนฝ่ายค้าหลักทรัพย์บ้างฝ่ายสินเชื่อบ้าง
หรือคนจากฝ่ายที่ปรึกษา ซึ่งจะมีจุดยืนไม่ถูกต้อง คือพวกค้าหลักทรัพย์นี่มีแนวโน้มที่จะเอียงไปทางเก็งกำไรหุ้นหรือฝ่ายสินเชื่อก็จะอนุรักษ์มากเกินไปตามธรรมชาติของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ
ผมคิดว่าจุดยืนของวาณิชธนากรคือต้องยืนข้างลูกค้า ให้เขาได้ในสิ่งที่ดีที่สุด
แล้วเราแบ่งกับเขาในรูปของค่าธรรมเนียม"
บรรยงค์คุยว่า "ค่าธรรมเนียมของฝ่ายวาณิชธนกิจเมื่อปี 2534 ได้ประมาณ
120 ล้านบาท เป็นค่าธรรมเนียมเพรียว ๆ กำไรบอกยาก แต่ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนี้คิดแล้วประมาณ
15 ล้านบาท ที่เหลือไม่ใช่กำไรทั้งหมดเพราะมีค่าใช้จ่ายให้กับฝ่ายค้าหลักทรัพย์และฝ่ายวิจัยที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ด้วย
แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากเท่าไร"
นับว่าเป็นความสามารถเฉพาะของพนักงานฝ่ายนี้แต่กระนั้นบรรยงค์ก็ออกตัวว่าฝ่ายอื่น
ๆ ที่ทำกำไรมากกว่าฝ่ายวาณิชฯ ของเขาก็มี โดยเฉพาะ MONEY MARKET และ LENDING
โครงสร้างการดำเนินงานของภัทรธนกิจแยกออกเป็นธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์
:
สายเงินทุนมีฝ่ายจัดหาเงิน (FUNDING) ให้กู้เงิน (LENDING) และ MONEY MARKET
ทำหน้าที่ค้าเงิน (TREASURY) และค้าตราสารทางการเงินประเภทหนี้ (DEBT INSTRUMENT)
ที่ฝ่ายวาณิชธนกิจเป็นผู้คิดค้นติดต่อกับลูกค้า
สายหลักทรัพย์ มีฝ่ายค้าหลักทรัพย์ (BROKER) ฝ่ายบริหาร เงินทุน/กองทุน
(FUND MANAGEMENT) ฝ่ายวาณิชธนกิจและสถาบันวิจัยภัทรฯ
บรรยงค์กล่าวถึงแนวคิดในการธุรกิจวาณิชธนกิจของเขาว่า "ผมมีความเชื่อว่าในขั้นตอนการพัฒนาประเทศที่เป็นอย่างนี้ผมเน้นที่จะทำธุรกิจแบบ
SERVICE ORIENTED มากกว่าที่จะเป็น DEAL ORIENTED"
SERVICE ORIENTED หมายถึงการเน้นเรื่องการให้บริการต่าง ๆ ให้คำแนะนำกับลูกค้า
ทำ PLACEMENT ให้ลูกค้า หรือการให้บริการทั้งหมดแล้วรับค่าธรรมเนียมในการให้บริการนั้นส่วน
DEAL ORIENTED คือการไปติดต่อหาลูกค้าเพื่อที่จะ TAKE PORTION เข้ามา เอากำไรเยอะ
ๆ แล้วก็จบกันไป
วิธีการทั้งสองแบบเป็นเรื่องที่มีการปฏิบัติอยู่ทั่วไปในต่างประเทศ แต่บรรยงค์เลือกที่จะทำธุรกิจในแบบแรกเพราะเชื่อว่าประเทศไทยยังขาดสิ่งที่เป็น
BASIC INFRASTRUCTURE ทางไฟแนนซ์ หรือวิธีการที่เป็น BASIC
เขากล่าวว่า "ในช่วงสองปีที่ผ่านมาและอีก 1-2 ปีข้างหน้า ภัทรฯ จะทำเรื่องธรรมดา
ๆ ให้มีคุณภาพเช่นทำอันเดอร์ไรต์ธรรมดาแต่เน้นเรื่องการปรับปรุงวิธี คุณภาพสิ่งที่ผมจะไม่กระตือรือร้นเลยคือการทำอย่างที่เรียกว่า
SEXY DEAL หรือ FANCY DEAL คือวิธีการที่สลับซับซ้อน ยุ่งยากและไม่ MAKE
SENSE"
ยกตัวอย่างให้ชัดคือมีลูกค้ามาหาภัทรฯ 2-3 รายเพื่อขอให้ทำ BACK-DOOR LISING
อยากจะซื้อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีราคาถูกแค่ 300-400 ล้านบาทเท่านั้น
เพื่อที่จะเอาบริษัทของตนพ่วงเข้าตลาดฯ ด้วย
บรรยงค์เล่าว่า "ผมบอกลูกค้าว่าหากบริษัทคุณดีจริงไม่ต้องไปซื้อในตลาดฯหรอก
ผมสามารถพาคุณเข้าไปได้ ผมไม่เคยพลาด หากลูกค้าเคยยื่นเข้าตลาดฯ แล้วถูกปฏิเสธ
ก็ต้องมาดูว่าเพราะอะไร หากตลาดฯ ไม่รับเพราะลูกค้ายังไม่ควรเข้าก็ไม่ควรทำไม่ว่าจะเป็น
BACK -DOOR หรือ FRONT-DOOR LISTION ผมปฏิเสธแบบนี้ไป 2-3 รายเพราะไม่ MAKE
SENSE ไม่เห็น SYNERGY"
สิ่งที่เป็นเป้าหมายของบรรยงค์คือ "การทำ BASIC ให้มีประสิทธิภาพมากว่าที่จะทำแบบมีเงื่อนงำ
(GIMMICK) ผมต้องการที่จะทำธุรกิจแบบ QUALITY ORIENTED ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศที่ทำแบบนี้และมีชื่อเสียงยืนยงอยู่ได้ทุกวันนี้ได้แก่
GOLDMAN SACHE และ S.G. WARBURG เป็นต้นนี่เป็นต้นแบบที่ผมอยากจะให้ภัทรฯเป็น
ผมไม่นิยมพวกที่ทำธุรกิจแบบมีเงื่อนงำมาก ๆ และตอนนี้ปรากฏว่าเจ๊งกันเป็นแถบ
ๆ เช่น DREXEL"
บรรยงค์กล่าวด้วยว่า "ภัทรฯ อยากจะโลว์โพรไฟล์อย่างมาก ๆ ผมไม่มี
DEAL หวือหวาประเภทเซียน มือพระกาฬ ภัทรฯ ไม่ต้องการเป็นสิ่งที่ภัทรฯ ต้องการคือการเป็น
NO STAR COMPANY เป็นบริษัทที่ไม่มีใครเด่นเป็นพิเศษ เพราะทุกคนใช้ได้เน้นคุณภาพเป็น
TEAM APPROACH ไม่ใช่ INDIVIDUAL APPROACH ไม่มีนายวิโรจน์หรือนายบรรยงค์เป็นมือหนึ่ง
ไม่มี เพราะทุกคนล้วนมีคุณภาพทั้งสิ้น"
นี่อาจจะเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างออกไปจากวาณิชธนากรอื่น ๆ
ซึ่งบรรยงค์ก็ยอมรับว่าเขาคิดไม่เหมือนใคร
หากจะเปรียบเทียบแล้ว อาจกล่าวได้ว่าภัทรฯทำธุรกิจแบบอนุรักษ์อย่างมาก
ๆ บรรยงค์ดูไม่ AGGRESSIVE เมื่อเทียบกับวาณิชธนากรใน บง. เอกธนกิจและน้องใหม่อย่าง
บงล. นิธิภัทร
เอกธนกิจนั้นไม่ได้ทำวาณิชธนกิจธรรมดา แต่ทุกครั้งที่มี DEAL ด้านนี้เกิดขึ้น
วาณิชธนากรในเอกธนกิจสามารถ CREATE VALUE ให้บริษัทตามมาได้ด้วย โดยเฉพาะในด้านการเติบโตของสินทรัพย์
อย่างล่าสุดคือการซื้อฟิลาเท็กซ์ที่นำมาปรับโฉมจนกลายเป็นกลไกระดมทุนไม่มีดอกเบี้ยอีกตัวหนึ่งในตลาดหุ้น
หรืออย่างการซื้อกิจการเฟิร์สท์ แปซิฟิคฯ เพื่อเป็นช่องทางและเครือข่ายในการทำวาณิชธนกิจทั่วเอเชียและยุโรป
ซึ่งเฟิร์สท์ฯ มีฐานด้านนี้อยู่อย่างพร้อมมูล
ชื่อของปิ่น จักกะพากกลายเป็น REGIONAL INVESTMENT BANKER ในภูมิภาคนี้อย่างรวดเร็ว
และเอกธนกิจก็มีฐานของสินทรัพย์ที่ใหญ่โตกว้างขวางส่งเสริมให้ปิ่นใช้ดำเนินธุรกิจได้ครอบคลุมทั่วภูมิภาค
อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบเอกธนกินกับภัทรฯ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก
เพราะสองบริษัทนี้เป็นขั้วที่ดูเหมือนจะมีปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ต่างกันอย่างมาก
ๆ
บรรยงค์ก็ย้ำเน้นกับ "ผู้จัดการ" ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า "ผมไม่คิดแข่งธุรกิจกับใคร
นอกจากตัวเอง และผมไม่คิดว่าภัทรฯ จะต้องเป็นคนที่ทำอะไรเป็นคนแรก ผมจะดูคนอื่น
ๆ หากดีผมก็จะทำตาม แต่ผมต้องศึกษาก่อนว่ามันเป็นวิธีการที่ดีอย่างไร"
นอกจากนี้บรรยงค์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการปรับปรุงมาตรฐานมาก "ผมมีเป้าหมายที่
INTERNATIONAL STANDARD ตอนนี้ยังไปไม่ถึง ผมยอมรับว่ายังอีกไกลแต่คิดว่ามาถูกทางแล้ว
ทิศทางโดยส่วนรวมนั้นถูก มีรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่ต้องปรับปรุง"
บรรยงค์กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยความเชื่อมั่น