Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2535
"นักบุกเบิกอนุรักษ์สัตว์ป่าคนแรก"             
 


   
search resources

ผ่อง เล่งอี้
กองอนุรักษ์สัตว์ป่า
Environment
Pet & Animal




หน่วยงานด้านอนุรักษ์สัตว์ป่าเมื่อ 30 ปีก่อนเป็นเพียงหมวดสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าสังกัดกองบำรุง กรมป่าไม้ มีเพียงพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 เป็นเครื่องมือในการทำงานพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าหมวดที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งคน ขณะที่สภาพโดยทั่วไปก่อนการประกาศใช้กฎหมายสัตว์ป่าฉบับแรกของเมืองไทย การล่าสัตว์เป็นที่นิยมทั้งของคนกรุงและคนในชนบทที่กระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จะต่างกันก็ตรงที่คนกรุงล่าสัตว์เพื่อความบันเทิงแต่คนชนบทล่าโดยวิถีชีวิตเพื่อการยังชีพ ที่สำคัญที่สุดคือถิ่นอาศัยสัตว์ป่าในยุคนั้นไม่ต้องบุกป่าผ่าดงไปไกล เพียงแค่ขับรถไปถึงทุ่งรังสิตก็มีสัตว์ป่าให้ส่องด้วยลูกปืนจากบรรดาผู้มีอันจะกินที่นิยมการล่าสัตว์เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง

ตำแหน่งหัวหน้าหมวดภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้เป็นที่น่าหนักใจมิใช่น้อยสำหรับผู้ที่ต้องมารับผิดชอบ ซึ่งเท่ากับเป็นการบุกเบิกทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานและกฎหมายรวมถึงผ่อง เล่งอี้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานคนแรกซึ่งเพิ่งจะจบการศึกษาจากคณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และสมัครเข้าทำงานกรมป่าไม้เป็นที่แรก

จากนิสิตที่จบด้านการจัดการป่าไม้ แต่ต้องมาบุกเบิกงานด้านสัตว์ป่า ซึ่งบรรดาเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่รู้ว่าเขาขันอาสามาทำงานนี้ต่างพากันหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันที่มาทำงานนับขี้กวาง ขี้ช้าง เพราะงานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการตัดไม้และการปลูกป่าทดแทนนั่นย่อมหมายถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่เข้าออกกระเป๋าถ่ายเทกันอย่างง่ายดาย ภาพพจน์ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ว่ายุคไหน ๆ ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักในเรื่องทำนองนี้

สำหรับงานของผ่องเล่งอี้สิ่งแรกที่เขาพอจะทำได้ภายใต้กำลังคน และงบประมาณอันน้อยนิดในช่วงนั้น คือพยายามหาภาพสัตว์สงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองมาจัดพิมพ์เป็นโปสเตอร์ส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้รู้ว่าสัตว์ป่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร และให้ประชาชนรับรู้ว่าเริ่มมีการใช้กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ป่าแล้ว การล่าสัตว์มิได้กระทำได้อย่างอิสระเช่นแต่ก่อน

ผ่องเองเขายอมรับว่ามิได้มีความรู้มากนักเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ป่าเพียงแค่เคยเรียนวิชาการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีเรื่องสัตว์ป่าเป็นหัวข้อหนึ่งของการเรียน ในระดับปริญญาตรี

จนกระทั่งโอกาสมาถึงเขาอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี 2506 ที่รัฐบาลไทยมีทุนให้ไปศึกษาวิชาการจัดการสัตว์ป่าต่อ ผ่องจึงได้ไปเรียนรู้ด้านสัตว์ป่าอย่างแท้จริงที่มหาวิทยาลัยมอนตาน่าสหรัฐอเมริกา

หลังจากจบปริญญาโทผ่องตระเวนดูงานด้านสัตว์ป่าในยุโรป อัฟริกา อินเดียสะสมความรู้และประสบการณ์ กลับมาเมืองไทยเพื่อวางแผนแม่บทในการดำเนินงานจัดการสัตว์ป่า

แนวคิดและภาระหลักของกรมป่าไม้ช่วงพุทธศักราช 2509 คือ การให้สัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศเพื่อให้เอกชนช่วยดูแลในรูปบริษัททำไม้จังหวัดและการปลูกป่าทดแทน

ขณะเดียวกันภาระของผ่อง เล่งอี้คือทำอย่างไรที่จะสงวนสัตว์ป่าไม่ให้ถูกล่า สัตว์ป่าจะอยู่ได้เมื่อมีถิ่นที่อยู่อาศัยคือป่าไม้ เขาต้องต่อสู้ฟาดฟันทางความคิดกับเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในกรมป่าไม้ เพื่อสงวนพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในรูปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าให้ได้

ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับตำแหน่งเล็ก ๆ ของผ่อง เล่งอี้ซึ่งเป็นแค่หัวหน้าหมวดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาทำได้

"ผมก็ทำหน้าที่จนมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากขึ้น ได้กำลังเจ้าหน้าที่เพิ่ม งบประมาณมากขึ้น มีการตั้งศูนย์ศึกษาธรรมชาติคนไม่พอก็ไปขออาสาสมัครอเมริกันมาช่วยของบประมาณจาก WORLD WILDLIFE FUND มาซื้ออาวุธในการปราบปรามจนรัฐบาลเห็นความสำคัญ

เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วงปี พ.ศ. 2518 นับเป็นแรงสำคัญที่ช่วยผลักดันหมวดสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าให้เลื่อนฐานะเป็นกองอนุรักษ์สัตว์ป่าและแน่นอน ผ่อง เล่งอี้ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองอนุรักษ์สัตว์ป่าคนแรก

ผ่องนั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการกองอนุรักษ์สัตว์ป่าจนกระทั่งปี 2522 รวมเวลาที่อยู่กับงานด้านนี้นานถึง 18 ปี เขาแย่งชิงพื้นที่จากสัมปทานมาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ 20 กว่าแห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 12-14 ล้านไร่

เมื่อเขาย้ายมาเป็นผู้อำนวยการกองอุทยานแห่งชาติ 7 ปี จากเดิมที่มีอุทยานแห่งชาติอยู่ 17 แห่ง ผ่องประกาศพื้นที่เพิ่มเป็น 69 แห่ง โดยเฉพาะอุทยานทางทะเลฝั่งอันดามันซึ่งยังไม่ได้ถูกยึดครองมากเท่ากับทางอ่าวไทย

"น่าเสียดายที่เขตรักษาพันธุ์และอุทยานหลายแห่งเป็นป่าซึ่งได้ถูกทำลายไปมากแล้วคือเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายก่อนที่จะประกาศ แต่เราพยายามต้านเอาไว้ หลายอุทยานจะมีปัญหาเพราะเป็นปัญหาเก่าที่สะสมไว้ก่อนจะเป็นอุทยาน ประชาชนเข้าไปอยู่โดยที่เราไม่รู้ ก็แก้ไม่มีที่สิ้นสุด"

ผ่องกล่าวถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการที่เขาพยายามชิงพื้นที่มาเป็นป่าอนุรักษ์ให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตามผ่องเห็น และตระหนักมาโดยตลอดว่าป่าอนุรักษ์ในรูปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานจะเป็นพื้นที่ป่าผืนสุดท้ายที่พอจะอนุรักษ์ไว้ เพื่อคานกับป่าสัมปทานซึ่งเขาไม่เคยเชื่อมาแต่ไหนแต่ไรว่าบริษัททำไม้จังหวัดจะปฏิบัติตามหลักวิชาการตัดไม้ที่ถูกต้องและรักษาป่าไว้ได้

"การอนุรักษ์ป่าสองอันนี้เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ในการเป็นข้าราชการกรมป่าไม้นึกทีไร ผมก็ดีใจ ปิติ ที่ได้ทำให้ป่าเหลือเป็นชิ้นสุดท้ายจนทุกวันนี้ ผมว่า 80% ของป่าพวกนี้ผมมีส่วนทำไว้"

ในอดีตงานอนุรักษ์สัตว์ป่าไม่ได้รับความสนใจทั้งจากรัฐบาลและประชาชนโดยทั่วไปมากเท่าทุกวันนี้ หลายครั้งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของผ่องบ่นท้อใจผ่อง มักพูดเสมอว่าวันหนึ่งงานด้านอนุรักษ์สัตว์ป่าจะเป็นงานที่มีความสำคัญมาก เรื่องกำลังคนและงบประมาณจะต้องตามมาอย่างแน่นอน

ปัจจุบันการอนุรักษ์สัตว์ป่าเป็นสิ่งที่รับรู้ในวงกว้าง แม้ในทางปฏิบัติจะยังคงมีปัญหาที่ผ่องเป็นห่วงเสมอมาคือเรื่องการล่าสัตว์ป่าอยู่ แต่เขาก็หวังว่าร่างกฎหมายสัตว์ป่าฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งอนุญาตให้มีการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าได้อย่างถูกกฎหมายจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการล่าแบบทำลายล้างในอดีตได้

ถึงกระนั้นก็ตามผ่องเห็นว่าการให้การศึกษา รณรงค์ให้ประชาชนมีสำนึกในเรื่องการอนุรักษ์ ไม่ทำลายทรัพยากรป่าไม้ ไม่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ป่าประกอบกับความเข้มงวดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เป็นการทำงานระยะยาวที่ส่งผลอย่างถาวร

"ผมเชื่อว่าเด็กรุ่นหลังจะไม่กินสัตว์ป่า ผมเชื่อว่าใครที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเป็นคนที่น่ารังเกียจ คนที่ยึดเอาของสาธารณะเป็นของส่วนตัวจะถูกประณาม สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา"

การทำงานด้านอนุรักษ์เป็นการทำงานที่ต้องขัดผลประโยชน์กับคนจำนวนไม่น้อย ผ่องมีความเห็นว่าบุคคลที่จะทำงานนี้ได้จะต้องเป็นคนที่เสียสละอย่างน้อยก็ต้องเสียสละให้ใครต่อใครพากันเกลียดหน้า และสิ่งสำคัญมากที่สุดคือความซื่อสัตย์สุจริต เพราะเป็นงานที่ต้องเอาผิดกับคนที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หากผู้ถือกฎหมายมือไม่สะอาดแล้วก็ยากที่จะบังคับใช้กฎหมายนั้น ๆ ได้

ผ่องกล่าวถึงการรับราชการว่าการใส่ร้ายป้ายสีเป็นเรื่องธรรมดา ในยุทธจักรของการแย่งชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีผลประโยชน์อย่างกรมป่าไม้ แต่สิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติมาตลอดคือการไม่แย่งชิง ผ่องยืนยันว่าเขาไม่เคยที่จะวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่ง และเขาก็ปฏิบัติตัวอย่างที่เรียกว่าโปร่งใสมาตลอดชีวิตที่รับราชการ

หลังปี พ.ศ. 2529 ผ่องย้ายจากกองอุทยานแห่งชาติมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ระยะหนึ่ง จึงกลับเข้ากรมป่าไม้ในตำแหน่งรองอธิบดีและด้วยเหตุผลทางการเมืองเขาไปศึกษางานชั่วคราวที่กรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นระยะที่เขาไม่ประทับใจนักเขาให้เหตุผลว่าไม่ค่อยถนัดเรื่องฆ่าสัตว์ ตัวเขาเองไม่รับประทานเนื้อสัตว์และไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิดมานานแล้ว

เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาผ่องเป็นแคนดิเดทคนสำคัญในตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้ ด้วยแรงสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อมั่นฝีไม้ลายมือในงานด้านอนุรักษ์ และนิสัยใจคอที่รับทั้งผิดและชอบต่องานของลูกน้อง

แต่แล้วในที่สุด ผ่อง เล่งอี้ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งรองปลัดกระทรวงเกษตรฯ และกรมป่าไม้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เขารับผิดชอบดูแลอยู่

จากการวางรากฐานการดำเนินงานด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า ที่เริ่มจากเจ้าหน้าที่รัฐเพียงสองคนกับพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพุทธศักราช 2503 จนกระทั่งถึง ณ วันนี้ที่เป็นกองอนุรักษ์สัตว์ป่า สังกัดกรมป่าไม้ และกำลังจะมีกฎหมายสัตว์ป่าฉบับใหม่ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับเข้ายุคสมัยและมีความรัดกุมกว่าเดิม

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us