Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2535
อี๊สต์เอเชียติ๊ก ผลัดแผ่นดิน"จองเคียร์" เปิดทางคนไทยเป็นใหญ่             
 


   
search resources

อี๊สต์เอเชียติ๊ก (ประเทศไทย), บมจ.
เฮ็นริก เดอ จองเคียร์
Chemicals and Plastics
โชติ โพควนิช




อี๊สต์เอเชียติ๊ก (ประเทศไทย) เป็นเทรดดิ้งเฟิร์มเก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี สำนักงานที่ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยายังคงรูปลักษณ์ตะวันตกอันภาคภูมิทั้งภายในและภายนอก สายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ เป็นเช่นนี้นับร้อยปี ขณะที่วัฒนธรรมการบริหารที่อี๊สต์เอเชียติ๊กเปลี่ยนแปลงน้อยมากด้านผู้นำที่มีฝรั่ง เป็นนายเสมอมา

จวบจนกระทั่งเมษายนปี 2535 ที่กำลังจะถึงนี้ ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นในวัฒนธรรมเก่าแก่นับร้อยปีของอี๊สต์เอเชียติ๊ก กรรมการผู้จัดการคนใหม่ที่จะมาแทน เฮ็นริก เดอ จองเคียร์ เป็นผู้บริหารไทยที่มีความสามารถและประสบการณ์การบริหารจากสิงคโปร์

ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของอี๊สต์เอเชียติ๊กจะต้องบันทึกไว้ว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ "โชติ โพควนิช" คือ "นายคนไทย" ที่กุมบังเหียนกิจการเก่าแก่แห่งนี้

โชติ โพควนิช เป็นนักบริหารบัญชีการเงินมืออาชีพที่มีความสามารถล้ำเหลือ จนกระทั่งบริษัทแม่ที่กรุงโคเปนเฮเกนได้ตัดสินใจส่งไปบริหารบริษัทอี๊สต์เอเชียติ๊กที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 ปี ตำแหน่งสุดท้ายของโชติในเมืองไทยขณะนั้นคือ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี

กลางปีนี้โชติ โพควนิช จะเข้าสวมตำแหน่งแทน เฮ็นริก เดอ จองเคียร์ ผู้มีมาดของผู้ดีที่ภาคภูมิใจในเกียรติแห่งความเป็นอี๊สต์เอเชียติ๊กมากเหลือเกิน จองเคียร์เป็นคนหนึ่งที่ถูกหล่อหลอมวัฒนธรรมจากสถาบันอี๊สต์เอเชียติ๊กที่กรุงโคเปนเฮเกนเมื่อจบก็ทำงานที่นี่ ผ่านประสบการบริหารที่ประเทศบราซิลและฟิลิปปินส์ จองเคียร์บริหารบริษัทนี้ในฐานะกรรมการผู้จัดการคนล่าสุด ซึ่งจะส่งมอบตำแหน่งให้กับโชติในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

เวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปีที่ "จองเคียร์" ได้บริหารงานอยู่ในคณะจัดการ การเติบโตของกิจการอยู่ในระดับ 20% ต่อปี ยอดขายตั้งแต่ปี 2529-2534 จองเคียร์ได้ฝากผลงานแบบอนุรักษ์นิยมของเขาไว้ดังนี้ในปี 2529-ยอดขาย 1,984 ล้านบาท ปี 2530-ขายได้ 2,063 ล้านบาท ปี 2531-ยอดขายขึ้นเป็น 2,707 ล้านบาท ปี 2532-ตัวเลขพุ่งขึ้น 3,368 ล้านบาท ปี 2533-ตัวเลขเป็น 4,076 ล้านบาท และปีที่แล้ว ยอดขายขึ้นเพียง 4,452 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเดิม 8% เพราะปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง ทั้งในและนอกประเทศ

ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบยอดขายกับเทรดดิ้งเฟิร์มยักษ์ใหญ่ "ดีทแฮล์ม" ซึ่งมียอดขายปีที่แล้วประมาณ 9,800 ล้านบาท ต้องบอกว่าอี๊สต์เอเชียติ๊กได้ถูกทิ้งไม่เห็นฝุ่นในลู่การแข่งขันนี้เสียแล้ว

โครงสร้างธุรกิจของอี๊สต์เอเชียติ๊ก แบ่งเป็น 5 กลุ่มคือหนึ่ง-กลุ่มเคมีภัณฑ์ในอุตสาหกรรมจากบริษัทไอซีไอ สอง-กลุ่มกราฟิกที่ใช้การพิมพ์ ล่าสุดเป็นตัวแทนขายไลโนไทฟ์ของอังกฤษ สาม-กลุ่มเทคนิคอุปกรณ์เครื่องยนต์กลไก สี่-กลุ่มอุปโภคบริโภครวมเวชภัณฑ์ อาหาร และห้า-กลุ่มการเดินเรือชิปปิ้งและคอนเทนเนอร์

กลุ่มการเดินเรือนี้ จองเคียร์ได้เปิดทิศทางการลงทุนไปสู่อินโดจีนอีกครั้ง หลังจากสนามรบได้เปลี่ยนเป็นสนามการค้าแล้ว สำนักงานอีเอซีในไซ่ง่อนที่ร้างไปช่วงสงครามก็ถูกรื้อฟื้นมาทำใหม่ และเตรียมเปิดสาขาที่ฮานอยเพิ่ม เพื่อทำธุรกิจวิ่งส่งสินค้าระหว่างโฮจิมินห์ สิงคโปร์ โคเปนเฮเกน ตลอดจนขยายเส้นทางไปสู่ฮ่องกงและโตเกียวด้วย ขณะเดียวกันก็นำสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามด้วย

นอกจากตลาดการค้าในอินโดจีนแล้ว ที่พม่า สำนักงานของอี๊สต์เอเชียติ๊กยังดำเนินการส่งออกไม้สักไปทั่วโลก ตามแนวคิดโบราณสมัยอาณานิคมอยู่อีก

ลักษณะเด่นระหว่างอี๊สต์เอเชียติ๊กกับดีทแฮล์ม อยู่ในวิถีสร้างดาวกันคนละดวง ขณะที่อี๊สต์เอเชียติ๊กเป็นยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพราะส่วนแบ่งของรายได้ 60.6% มาจากกลุ่มนี้ดีทแฮล์มกลับมีความเด่นในธุรกิจเวชภัณฑ์ ทำรายได้มากที่สุดถึงปีละ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจเวชภัณฑ์ของอีสต์เอเชียอีสต์เอเชียติ๊กเป็นยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพราะส่วนแบ่งของรายได้ 60.6% มาจากกลุ่มนี้ดีทแฮล์มกลับมีความเด่นในธุรกิจเวชภัณฑ์ ทำรายได้มากที่สุดถึงปีละ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจเวชภัณฑ์ของอีสต์เอเชียติ๊กเพียงแค่ 5.9% หรือประมาณ 240 ล้านบาทเท่านั้น

"เราอยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 100 ปี เราพิจารณาประเทศไทยว่าเป็นตลาดของเรา ตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองไทยก็พยายามที่จะเข้าใจคนไทยวัฒนธรรมไทยเราคิดว่าจะทำธุรกิจที่นี่ในระยะยาว เราไม่ได้คิดอะไรแบบสั้น ๆ" นี่คือทัศนะของจองเคียร์

ถึงกระนั้นก็ตาม การดำเนินนโยบายการบริหารอนุรักษ์นิยมที่เติบโตอย่างมั่นคง ในสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างไทยนับตั้งแต่รัฐประหารจนกระทั่งจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า จองเคียร์ ได้กล่าวได้ว่า

"ในปีที่ผ่านมา เราต้องตัดสินใจชะลอธุรกิจไว้ก่อน จะไม่มีการลงทุนขนานใหญ่ในช่วงนี้ แต่จะหันมาปรับปรุงภายในองค์กร เพื่อให้ทันรับกับสถานการณ์" ทิศทางการลงทุนของบริษัทจึงไม่ปรากฏดังคำพูดของจองเคียร์ หลังจากที่ในปี 2533 บริษัทได้ขายหุ้นลงทุนในบริษัทอีเอซี พร็อพเพอร์ตี้ส์ ซึ่งเคยวาดฝันว่าจะสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ท่าน้ำดูเม็กซ์ 12 ไร่ แต่ปัญหาจราจรจลาจลทำให้จองเคียร์เปลี่ยนใจขายให้กับกลุ่มไทยรุ่งเท็กซ์ไทล์และโตโยเมนกาในราคา 1,350 ล้านบาท แล้วย้ายไปสร้างที่แห่งใหม่บนที่ดิน 19 ไร่สายบางนา-ตราด กม. ที่ 7.5

นอกจากนั้น บริษัทยังได้ขายหุ้นลงทุนในบริษัทเอสเคเอฟ (ประเทศไทย) อีกด้วย และโครงการร่วมลงทุน 10% ในบริษัทไทยพีทีเอที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2532 ก็เป็นอันฝันสลายเนื่องจากโครงการนี้มีความเป็นไปได้น้อย จึงล้มเลิกทำ

ในอดีตยุคทองปี 2530 การตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนของจองเคียร์เป็นไปอย่างคึกคัก มีการลงทุนใหญ่ในไทยหลายโครงการ เช่น โครงการร่วมกับกลุ่มไอซีไอที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูโครงการศูนย์คลังและแจกจ่ายสินค้าที่บางนา-ตราด กม. 12 โครงการศูนย์บรรจุคอนเทนเนอร์นอกท่าโครงการร่วมลงทุน 15% ในบริษัทเพรอกซี่ไทย

ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมามีการเพิ่มทุนสองครั้ง ๆ ละ 300 ล้านบาท ปัจจุบันทุนจดทะเบียนของบริษัท 900 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในทรัพย์สินถาวรคือการก่อสร้าง สำนักงานใหญ่ โรงงาน อุปกรณ์และเครื่องจักร

โครงการดังกล่าวจะกระทบต่อการดำเนินงานให้ผลตอบแทนในอนาคตอย่างไร? จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์สำเร็จและตอบสนองคนสามกลุ่มได้คือ หนึ่ง-ผู้ถือหุ้น สอง-บริษัทและสาม-พนักงาน ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเหล่านี้เป็นภารกิจที่กรรมการผู้จัดการคนใหม่อย่าง "โชติโพควนิช" จะต้องบริหารให้กิจการยักษ์ใหญ่โบราณอายุร้อยกว่าปีที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งนี้ไปสู่ดวงดาว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us