ในอดีตที่ผ่านมาถือได้ว่าทางภาครัฐไม่ได้เกื้อหนุนธุรกิจ ประกันภัยมากมายนัก
แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ คนในวงการ ประกันถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า นี่คือบันทึกครั้งประวัติศาสตร์ของวงการประกันภัย
ที่ภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุนด้วยการกำหนดยุทธ ศาสตร์ประกันภัยแห่งชาติ โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีในครั้งนั้น
จากธุรกิจที่มีจุดหมายแต่ไร้ทิศทางเมื่อได้ความร่วมมือจากภาค รัฐบาลในการกำหนดกรอบ
ก็ทำให้ ภาคเอกชนมีทิศทางก็กระจ่างชัดขึ้น ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุนโดยตรงต่อภาคธุรกิจนี้คือ
กรมการประกันภัย ในการผลักดันให้เป็นไปในทิศทางที่กำหนดไว้ โดยนางสาวพจนีย์ ธนวรานิช
อธิบดี กรมการประกันภัย ได้อธิบายขยาย ความแนวคิดยุทธศาสตร์ประกันภัยที่ต่อไปจะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจที่ประชาชนขาดศรัทธา
ให้กลายมามีความศรัทธาและเชื่อถือ รวมทั้งเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนทั้งภาค ธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็งในอนาคตได้
สิ่งที่สร้างความศรัทธาและความน่าเชื่อถือต่อธุรกิจประกันมีหลายด้านไม่ว่าการดำเนินธุรกิจโดย
ยึดหลักธรรมาภิบาล ความมั่นคงของบริษัทประกัน หรือกระทั่งตัวแทนขาย ซึ่งมีการย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ความสำคัญกับเรื่องของจรรยาบรรณมากที่สุด
และในเรื่องนี้ทางกรมการประกันภัยต้อง การที่จะเห็นเห็นภาคธุรกิจมีการกำกับดูแลกันเอง
โดยกรมฯจะทำหน้าที่ในการให้ใบอนุญาติ แต่การสอบความรู้ด้นการประกันภัยให้เป็นบทบาทของภาคธุรกิจ
คือ สมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัย โดยขณะนี้ทางสมาคมประกันชีวิตไทยได้ตอบกลับมาว่าเรื่องดังกล่าวสามารถ
ดำเนินการได้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2546
"ในเรื่องบุคลากรท่านนายกฯ ได้กล่าวไว้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ธุรกิจประกันภัยที่สร้างความน่าเชื่อ
ถือศรัทธาต้องทำให้เป็นมืออาชีพ คือการเป็นคนที่มีความรู้อย่างแท้ จริง มีจรรยาบรรณที่ดี
และคำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง"
อธิบดีกรมการประกันภัย ได้กล่าวอีกว่าในอนาคตที่เมื่อ เปิดเสรีธุรกิจแล้วภาคเอกชนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น
เพื่อเป็นการกำกับดูให้ทั่วถึงกรมฯได้ดึงพ.ร.บ. 2535 ทั้งประกันชีวิต และประกันวินาศภัยมาแก้ไขเพิ่มเติม
โดย การบังคับให้บริษัทประกัน ชีวิตต้องเป็นสมาชิกของสมาคมประกันชีวิตไทย บริษัทประกันวินาศภัยก็ต้องเป็นสมาชิกของประกันวินาศภัย
เพื่อให้มีการ กำกับดูแลให้เกิดผล และเคารพใน กฎเกณฑ์และระเบียบวินัยที่ทางสมาคมจัดตั้งขึ้นมา
สิ่งสำคัญอีกประการต่อการสร้างความน่าเชื่อถือของภาคธุรกิจ คือหลักธรรมาภิบาล
โดยอธิบดี กรมการประกันภัยได้กล่าวว่าธุรกิจ ประกันภัย จะต้องมีความน่าเชื่อถือ
จากประชาชนมากที่สุด เพราะฉะนั้น หลักนิติธรรม คุณธรรม และความ โปร่งใส หรือธรรมาภิบาลต้องนำมา
ใช้กับภาคธุรกิจทางสมาคมประกัน วินาศภัยได้ทำการศึกษาหลักธรรมภิบาลที่ดีของทุกระดับในองค์กร
เช่น การปฏิบัติงานระดับเจ้าหน้าที่ควรจะเป็นอย่างไร ผู้บริหารควรเป็นอย่างไร คาดว่าใน
วันที่ 6 มิถุนายนนี้สมาคมประกันวินาศภัยจะนำผลการศึกษาออกมาให้ทุกบริษัทรับทราบ
และแสดง ความเห็นเพื่อออกเป็นกฎระเบียบข้อบังคับ
อย่างไรก็ตาม การเกิดธรรมา ภิบาลอาจมีปัญหาและอุปสรรคบ้าง ในเรื่องขนาดขององค์กรมีหลายระดับ
ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ทำให้ความพร้อมความจำเป็นในการที่จะมีระบบงานให้เหมือนกันอาจกลายเป็นภาระต่อการเพิ่มค่าใช้จ่ายของบริษัท
โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก แต่ในมุมกลับกันถ้าถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีก็ให้มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่ามองเป็นภาระค่าใช้จ่าย
เพราะสิ่ง ที่ย้อนกลับมาคือภาพลักษณ์ที่สะอาด โปร่งใส และมีความน่าเชื่อ ถือมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาชนด้วยว่า เมื่อซื้อความคุ้มครองแล้วเงินจำนวนนั้นจะไม่สูญหาย
ซึ่งเรื่องนี้ทางกรมฯได้ให้ความสำคัญมาก จึงได้เตรียมการจัดตั้งกองทุนคุ้ม ครองผู้เอาประกันภัยขึ้น
ทั้งในส่วน ของธุรกิจประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัย เพื่ออนาคตหากบริษัทใดเกิดมีปัญหาทางการเงินถึงกับต้องถอนใบอนุญาตประกอบ
ธุรกิจ แต่จะไม่กระทบประชาชน เพราะมีเงินกองทุนคุ้มครองผู้เอาประกันภัยเป็นหลักประกันว่าประชาชนจะได้รับการดูแลถือเป็น
การเพิ่มความน่าเชื่อถือ และศรัทธา ของประชาชนต่อธุรกิจประกันภัย
อนาคตของภาคธุรกิจประกันภัย เชื่อว่าจะยังไปได้ดี เพราะประชาชนได้เห็นความสำคัญของการประกันภัยมากขึ้น
เหมือนอย่างต่างประเทศจะเห็น ได้ว่าประกันภัยเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างแท้จริง เพราะต่างประเทศเรียกว่าไม่ต้องโฆษณาประกัน
ก็ขายได้ ไม่ว่าจะเป็นประกัน สุขภาพ ประกันรถประกันทรัพย์สินก็ตาม ซึ่งทางกรมฯ
และภาคธุรกิจประกันเองก็หวังอยากให้ประกันภัยเป็นปัจจัยที่ 5 ในประเทศไทยด้วย
โดยเฉพาะประกันวินาศภัย ที่เติบโตสอดคล้องกับเศรษฐกิจ กล่าวคือเศรษฐกิจยิ่งโตประกันวินาศภัยโตตามด้วย
ยิ่งช่วงนี้รัฐบาล ปัจจุบันอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นมาก และยิ่งในเรื่องหลักบริหารจัดการของรัฐบาลที่ได้รับการจัดอันดับขึ้นมาสูง
มาก ยิ่งทำให้เศรษฐกิจมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ภาคธุรกิจก็จะต้องหันมา ทำประกันมากขึ้น
อย่างเช่นภาคธุรกิจส่งออกที่ต้องพึ่งพาอาศัยการ ทำประกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมัน
ยังไปได้ดีศักยภาพยังสูงทั้งประกัน ชีวิตและวินาศภัย
กล่าวได้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียง บางตัวอย่างจากอีกหลายรายการในการกำหนดยุทธศาสตร์ประกันภัยแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา บางเรื่องก็ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่บางเรื่องก็ยังเป็น
แค่นามธรรมที่รอวันปั้นแต่งให้เป็นรูปธรรม