บริษัทอายุเก่าแก่มาถึง 100 ปี กำลังมีการเปลี่ยนแปลงชนรุ่นหลาน กำลังก้าวเป็นผู้นำพร้อมแผนการเข้าตลาดหุ้น
ร่วมทุน ซื้อลิขสิทธิ์ เป็นกลไกในการสร้างการเติบโต ที่ชนรุ่นพ่อและปู่ไม่มี
"บุญยง" ชายวัย 70 ปี ชอบใส่เสื้อและกางเกงสีขาวเมื่ออยู่ในวัดหลังใหญ่ที่อยู่ห่างจากกรุงเทพออกไปทางทิศเหนือประมาณ
20 กิโลเมตร บุญยงไว้ผมสั้นเหมือนคนไทยที่สูงอายุทั่วไป ต่างกันก็ตรงที่ว่าบุญยงเป็นคนรูปร่างสมส่วนไม่อ้วน
บุคคลิกภายนอกเป็นคนสุขุมเยือกเย็น
บ่อยครั้งในวันสุดสัปดาห์ เขามักใช้ชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมของศาสนาที่วัดธรรมกาย
มากกว่าที่จะอยู่ในสังคมของนักธุรกิจวัยเดียวกัน เขาปรารถนาที่จะสนทนาเรื่องธรรมะมากกว่าการค้า
การซึมซับต่ออิทธิพลของศาสนาทำให้ชีวิตของเขาหมุนไปตามแกนของการปฏิบัติธรรม
ในทางส่วนตัว เขาถือศีล และตั้งมูลนิธิว่องวานิชเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางพุทธศาสนา
ในสังคมธุรกิจไทย คนแบบนี้มีไม่มากนัก และดูออกจะแปลกมากเมื่อวิถีชีวิตของเขาถูกแยกออกเป็น
2 ส่วนที่ขัดแย้งกันระหว่างการสร้างผลกำไรในธุรกิจเพื่อสะสมความมั่งคั่งกับการปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขทางจิตวิญญาณ
บุญยงเป็นชนรุ่นลูกของตระกูลว่องวานิช ที่สืบทอดมรดกทางธุรกิจบริษัทห้างขายยาอังกฤษตรางูต่อจากพ่อ
"หมอล้วน" เมื่อ 30 ปีก่อน
ขณะนี้ธุรกิจของเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง เมื่อบุญยงได้ผ่องถ่ายอำนาจการจัดการให้ลูกซึ่งเป็นชนรุ่นหลานของตระกูล
พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจจากที่อยู่กระจัดกระจาย มารวมอยู่เป็นกลุ่มบริษัท
ว่องวานิชกรุ๊ปเกิดขึ้นมาได้เมื่อประมาณเสี้ยวปีที่ผ่านมา แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว
กลุ่มธุรกิจของตระกูลว่องวานิช เกิดขึ้นมาได้นับกว่า 60 ปีในขณะที่ชื่อเสียงของห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มต้นของตระกูลเพิ่งจะผ่านพ้นอายุครบ 100 ปีเมื่อเดือนที่ผ่านมานี่เอง
หมายความว่าตระกูลว่องวานิชได้เป็นเจ้าของและดำเนินการบริหารธุรกิจห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) เป็นเวลากว่า 60 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2471 ซึ่งก่อนหน้านี้ธุรกิจห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและถือครองบริหารมาอยู่ก่อนแล้วถึง
36 ปีด้วยกันก่อนที่จะตกมาอยู่ในมือของต้นตระกูลว่องวานิชและส่งทอดมาได้
3 ชั่วอายุคนในวันนี้
การเติบโตของกลุ่มธุรกิจว่องวานิชกรุ๊ปนั้นมีรากฐานมาจากร้านขายยาแล้วคืบคลานธุรกิจสู่สินค้าอุปโภค-บริโภคจนขยายเข้าไปถึงธุรกิจที่อยู่อาศัยแตกกิ่งก้านสาขาในปัจจุบันนับได้ถึง
13 บริษัทในเครือเมื่อมีอายุได้ครบ 100 ปีพอดี
หากพิจารณาจากตัวเลขของการขยายกิจการในเครือที่มีเพียง 13 บริษัทเท่านั้นก็ถือว่าเล็กน้อยสำหรับกิจการที่มีอายุมาได้ถึง
100 ปีเต็ม
บุญยง ว่องวานิช ประธานกรรมการว่องวานิชกรุ๊ป ยอมรับว่าเพราะห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) นั้นเป็นบริษัทที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม (CONSERVATIVE) อย่างเต็มที่จึงทำให้การขยายกิ่งก้านสาขาของเขาจึงเป็นไปอย่างค่อนข้างที่จะเชื่องช้า
หากพิจารณาจากประเด็นเงื่อนไขของการขยายธุรกิจของกลุ่มจากธุรกิจหนึ่งสู่อีกธุรกิจหนึ่ง
จะเห็นว่าการคืบคลานเข้าสู่ธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าลงทุน
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาแล้วต้องขายได้อย่างแน่นอนไม่ว่าเป็นอาหาร
ยา ที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่ม
อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) กำลังจะสลัดคราบความเป็นบริษัทที่มีความอนุรักษ์นิยมอย่างสูงออกไป
แล้วหันเข้าหาความเป็นบริษัทที่มีการจัดการระบบแบบสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น
"หลังจากเราปรึกษาหารือกันในครอบครัวแล้วประการแรกเราตกลงที่จะหาบุคคลภายนอกที่มีประสบการณ์และฝีมือมาร่วมบริหารในกลุ่มธุรกิจของเรา
ประการที่สอง เราต้องนำบริษัทชั้นดีในกลุ่มของเราเข้าตลาดหุ้น" อนุรุธลูกชายคนโตพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำหนดไว้ในปีหน้า
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหล่านี้ กลุ่มผู้บริหารรุ่นที่ 3 ของตระกูลต่างมีความเห็นร่วมกันว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องปรับสภาพองค์กรให้เข้ากับเงื่อนไขของเวลาในปัจจุบัน
"เพราะคลื่นมาแรงมากขึ้นทุกที เราต้องปรับปรุงให้แข็งแรงพอที่จะกระทบคลื่นได้โดยไม่แตกออกเป็นเสี่ยง
ๆ เสียก่อน" ล้วนชาย ว่องวานิช กรรมการบริหารว่องวานิชกรุ๊ปยกตัวอย่างของความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงองค์กรอันเนื่องมาจากการแข่งขันที่สูงจึงต้องป้องกันตัว
กลุ่มธุรกิจของว่องวานิชมี 3 ส่วนคือส่วนแรก-เป็นธุรกิจรับจ้างผลิตยาและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวมาตั้งแต่ปี
2506 ส่วนที่สอง-เป็นธุรกิจจัดจำหน่าย ซึ่งมีอยู่ 6 บริษัทได้แก่บริษัทห้างขายยาอังกฤษตรางู
เอเซียสุพรีมมาร์เก็ตติ้ง ยูเคเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนล เอเซียเฮลท์ ไซแอนซ์
และเดอะเฟมัส เอมัสคุ้กกี้ ส่วนที่สาม-เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มี 6 บริษัทที่ควบคุมตั้งแต่การซื้อที่ดิน
การจัดสรร การพัฒนา การก่อสร้าง
แต่ละส่วนของธุรกิจจะมีบริษัทธงนำอยู่ เช่น จัดจำหน่ายก็เป็นห้างขายยาอังกฤษตรางู
อสังหาริมทรัพย์ก็เป็น วี. อินเตอร์เนชั่นแนลพรอพเพอร์ตี้
อนุรุธลูกชายคนโตดูแลกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่าย ขณะที่ล้วนชายน้องชายดูแลกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
การแข่งขันที่สูงมีผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เป็นธงนำของกลุ่ม
จากข้อมุลผลประกอบการของบริษัทที่แจ้งต่อกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์
ช่วงระหว่างปี 2531-2533 ส่วนเหลื่อมกำไร (PROFIT MARGIN) ของบริษัทห้างขายยาอังกฤษตรางูซึ่งเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัวประเภทแป้ง
ยาน้ำ ขี้ผึ้ง อยู่ในระดับต่ำมากเพียงร้อยละ 1.02-1.03 ของรายได้จากยอดขายเท่านั้น
ส่วน แอล. พีสแตนดาร์ด มีแนวโน้มลดลงอยู่จากร้อยละ 1.83 หรือ 1.00 ในช่วงเวลาเดียวกัน
อนุรุธ ว่องวานิช ลูกชายคนโตของบุญยง ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นผู้นำธุรกิจของกลุ่มแทนบุญยงในอนาคตกล่าวว่า
การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้นก็เพื่อต้องการที่จะระดมทุนนำไปลงทุนในโครงการต่างๆ
ที่กำลังจะขยายต่อไปในอนาคต
ความเป็นไปได้ในปีหน้าที่ บริษัท เดอะเฟมัสเอมัส ซึ่งเช่าแฟรนไชล์จากบริษัทเฟมัสเอมัสสหรัฐ
จะลงทุนผลิตแป้งและส่วนผสมต่าง ๆ เองที่เมืองไทยภายใต้ข้อตกลงเช่าสิทธิบัตรเทคดนโลยี่การผลิตจากบริษัทบริษัทเฟมัสเอมัสสหรัฐ
จากทุกวันนี้ที่ต้องสั่งซื้อวัตถุดิบทุกอย่างจากเฟมัสเอมัสสหรัฐเพื่อนำเข้ามาอบที่เมืองไทย
"มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากที่จะต้องมานั่งดูแลของเก่า ๆ ที่พ่อและปู่สร้างมา"
เขากล่าวถึงเหตุผลหนึ่งที่กลุ่มว่องวานิชรุ่นหลานต้องการลงทุนต่อไป
ส่วนทางด้านล้วนชาย เขามีแผนการที่จะขยายการลงทุนในโครงการอาคารชุดสำนักงานและที่อยู่อาศัยบนพื้นที่ดินราคาถูกที่ตกทอดจากรุ่นพ่อ
การเข้าตลาดหุ้น เป็นสูตรสำเร็จกลไกการทำธุรกิจของชนรุ่นลูกหลานในธุรกิจครอบครัวทุกแห่ง
ที่กำลังเปลี่ยนผ่านเหตุผลมีอยู่ว่าการเข้าตลาดหุ้นเป็นหน้าต่างการระดมทุนขยายธุรกิจที่ปราศจากดอกเบี้ย
และสามารถสร้างความมั่นคั่งได้ง่ายจากพรีเมี่ยม
ตามรายงานของกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ บริษัทห้างขายยาอังกฤษตรางูมีเงินทุนที่ยังไม่ได้ปันผลอยู่ประมาณ
29 ล้านบาทจากทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3 ล้านบาท รายรับต่อหุ้น (EPS) อยู่ในระดับหุ้นละ
681 บาท เมื่อสิ้นปี 2533
ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัท แอล. พี สแตนดาร์ดมีเงินทุนที่ยังไม่ได้ปันผลอยู่ประมาณ
42 ล้านบาทจากทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 10 ล้านบาท รายรับต่อหุ้น (EPS) อยู่ในระดับหุ้นละ
154 บาท
"กลุ่มบริษัทนี้เราถือว่าชั้นดี แม้ธุรกิจหลักจะมีมาร์จิ้นน้อยแต่มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งมาก"
แบงก์เกอร์รายหนึ่งให้ข้อสังเกต
การเข้าตลาดหุ้นของบริษัทธุรกิจครอบครัวที่ถ่ายทอดมรดกกันมานานนับ 60 ปี
เป็นเรื่องที่บุญยงตัดสินใจไม่ง่ายนัก
"ที่ผมตกลงใจเข้าตลาดหุ้นเพื่อป้องกันลูก ๆ ทะเลาะกันเมื่อผมไม่อยู่"
บุญยงพูดถึงเหตุผลสำคัญ
ความแตกต่างในเป้าหมายการเข้าตลาดหุ้นของชน 2 รุ่นที่ต่างกันทั้งภูมิหลังและโลกทัศน์เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมธุรกิจครอบครัวคนจีน
หนทางแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสหพัฒน์ที่นายห้างเทียมโชค วัฒนาตัดสินใจนำบริษัทต่าง
ๆ ในเครือสหพัฒน์เข้าตลาดหุ้น ซึ่งเป็นไปเพื่อเหตุผลป้องกันลูกทะเลาะกัน
บุญยงกำลังจะวางมือจากการเป็นประธานกรรมการของกลุ่มบริษัทและยกหน้าที่นายใหญ่ให้กับอนุรุธ
ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลแทน บุญยงกล่าวว่าอนุรุธเป็นคนหนุ่มไฟแรง
พูดเก่ง มนุษยสัมพันธ์ดี เข้าผู้ใหญ่ได้ดีและเป็นบุคคลที่มีบุคลิกของความเป็นผู้นำอยู่สูง
"ที่สำคัญเขาเป็นลูกชายคนโต"
มันเป็นธรรมเนียมของครอบครัวคนจีนที่มรดกการจัดการธุรกิจมักตกเป็นของลูกชายคนโต
บุญยงมีลูก 4 คนเป็นชาย 2 หญิง 2 ที่สืบทอดมรดกธุรกิจจากเขา อนุรุธ ล้วนชาย
อัญญา และเพิ่มหญิง
ความเท่าเทียมกันด้านการศึกษาที่ต่างคนต่างเรียนกู้มาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ
เช่น อัญญา จบปริญญาตรีทางเคมีและปริญญาโททางบริหารธุรกิจ อัญญาจึงรับหน้าที่ดูแลด้านการเงินของบริษัททั้งหมด
และในขณะที่น้องสาวคนสุดท้องยังไม่เข้ามาช่วยงานอัญญาจึงต้องรับหน้าที่ดูแลโรงงาน
แอล. พี. แสตนดาร์ดไปพลาง ๆ ก่อน ขณะเดียวกันก็รับบทหนักด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกด้วย
"อัญญาเป็นคนเงียบ ๆ และเป็นตั้วเจ๊ (พี่ใหญ่) ของน้อง ๆ จึงให้ดูแลน้อง
ๆ ด้วยการควบคุมด้านการเงินของบริษัท หากความเป็นตั้วเจ๊ไม่สามารถคุมน้องได้ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน"
บุญยงพูดถึงลูกสาวคนโตซึ่งมีครองครัวไปแล้วโดยแต่งงานกับกิตติพงษ์ เมธาธรรม
กิตติพงษ์ เป็นลูกเขยของบุญยงดูแลธุรกิจสายอาหารคือผลิตภัณฑ์คุกกี้เฟมัสเอมัสและคือบริษัทยูเคเอ็มฯ
ซึ่งเป็นธุรกิจนำเข้า ส่วนอนุรุธ จบรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์และปริญญาโทบริหารธุรกิจเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาวาย
สหรัฐ
ห้างขายยาอังกฤษตรางูกิจการหลักของกลุ่มว่องวานิชที่อนุรุธดูแลอยู่มีสินค้าที่เด่น
ๆ เป็นผู้นำตลาดอยู่เพียงตัวเดียวคือแป้งเย็นปริกลี่ฮีทตรางู แป้งเด็รเซนลุกซ์
อนุรุธกล่าวถึงแผนการว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ในไลน์เดียวกันเช่นแชมพูสระผม หรือสบู่
ส่วนเครื่องสำอางมี อาดอร่า มายดรีม สินค้าเหล่านี้ จัดจำหน่ายโดยบริษัทในเครือคือเอเซียสุพรีมมาร์เก็ตติ้ง
ส่วนยาจำหน่ายโดยห้างขายยาอังกฤษตรางูมียา 6 หมวดผลิตโดยโรงงาน แอล. พี.
สแตนดาร์ดมียาผง ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ ยาขี้ผึ้งครีมและยาปราศจากเชื้อ
นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมสุขภาพและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพโดยการนำเข้าของบริษัท
เอเซียเฮลท์ไซเอนซ์ จำกัดจากต่างประเทศ เช่น จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ออสเตรเลียและอเมริกา
อนุรุธได้วางโครงการเพื่อสร้างความเติบโตโดยมุ่งพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายของห้างขายยาอังกฤษตรางูต่อไป
เขาตั้งความหวังว่าจากสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมดของบริษัทนั้นจะเปิดเป็นเชนสโตร์เน้นการขายยาและสินค้าอุปโภค-บริโภคโดยใช้ชื่อเชนว่า
"BRITISH DISPENSARY" และเมื่อครบ 10 สาขา จะทำเป็นแฟรนไชส์ซึ่งปัจจุบันมี
5 สาขาคือ สี่พระยา ศาลเจ้าเจ็ด สำโรง สุขุมวิทซอย 5 พระราม 9
ล้วนชาย จบปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยซารินาส สหรัฐด้านการค้าระหว่างประเทศ
เกียรตินิยมอันดับ 1 เช่นเดียวกับอนุรุธ เนื่องจากล้วนชายเคยมีประสบการณ์และเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดินในขณะที่อยู่ต่างประเทศมาบ้างแล้ว
บุญยง จึงให้เขาเข้ามาดูแลธุรกิจใหม่คือ ธุรกิจพัฒนาที่ดิน มีเครือข่ายถึง
6 บริษัทที่ต้องดูแลตั้งแต่การจัดซื้อที่ดิน การจัดสรร การก่อสร้าง การพัฒนา
การจำหน่าย
บริษัทจัดซื้อที่ดินคือห้างหุ้นส่วนจำกัดว่องวานิช ที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นบุญยง
เมื่อซื้อมาแล้ว ถ้าต้องการจัดสรรก็ให้บริษัทห้างหุ้นส่วนว่องวานิชที่ดิน
และเคหะเป็นผู้ดำเนินงาน หรือถ้าต้องการพัฒนาเป็นโครงการอาคารชุดก็จะให้บริษัท
วี. อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาหรือถ้าต้องการพัฒนาเป็นบ้านจัดสรรก็ให้
บริษัทพฤกษาก่อสร้างเป็นคนก่อสร้าง
เมื่อสร้างเสร็จจะขายหรือให้เช่าก็ให้บริษัท บี. วายเทรดดิ้งเป็นผู้ดำเนินการจำหน่ายทั้งหมด
มันเป็นรูปแบบการจัดการธุรกิจครบวงจรในตัวเองที่สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน
ทำให้สะดวกตรงเวลาตามแผนโครงการ
ล้วนชายกล่าวถึงที่มาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มว่า ธุรกิจพัฒนาที่ดินซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นธุรกิจใหม่ของตระกูลแต่ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจพัฒนาที่ดินตระกูลว่องวานิชทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อเมื่อสมัย
40 ปีมาแล้วที่ได้มีการซื้อที่ดินสะสมไว้มากมายจน ณ วันนี้เฉพาะมูลค่าที่ดินที่ถือครองอยู่ทั้งหมดมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า
5,000 ล้านบาท นับรวมทั้งที่ดินว่างเปล่าพร้อมการพัฒนาและที่ดินที่ได้พัฒนาจัดสรรโครงการแล้ว
"ยุคนี้เราเล็งเห็นว่าน่าที่จะบุกในเรื่องนี้จากการศึกษาบริษัทใหญ่
ๆ ทั่วโลกจะเห็นว่าเบื้องหลังของความสำเร็จที่มีกิจการใหญ่โตขึ้นมาได้ทุกวันนี้เขาจะมีธุรกิจเรียลเอสเตรทอยู่ทั้งนั้น"
โครงการล้วนพฤกษาจึงเกิดขึ้น ในช่วง 3 ปีเกิด 3 โครงการเฟส 1, 2 และ 3
รวมกันทั้งหมด 175 หลังในเนื้อที่ 125 ไร่ นอกจากนี้ยังมีโครงการตึกสูงว่องวานิชเอและบีและมีโครงการที่จะสร้างอาคารตึกสูงอีก
2 โครงการในอีก 3-4 ปีข้างหน้าซึ่งโดยส่วนใหญ่คือ 70% หากเป็นโครงการที่อยู่ในเมืองจะเป็นโครงการตึกสูง
ส่วนที่ดินในเขตปริมณฑลจะสร้างเป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรรแต่ทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะของการขายโครงการในขณะที่เหลืออีก
30% จะเป็นการให้เช่าซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว
ล้วนชายมีความเห็นว่าการให้เช่าอาคารเป็นการลงทุนระยะยาวกว่าจะถึงจุดคุ้มทุนต้องใช้ระยะเวลา
6-10 ปีในขณะที่ขายโครงการจะได้ทุนคืนภายใน 2-3 ปีซึ่งนับจากนี้ต่อไปในรุ่นนี้จะต้องหาธุรกิจใหม่
ๆ และเป็นในลักษณะของการร่วมทุนเพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา
ส่วนเพิ่มหญิง จบปริญญาเอกทางเภสัชกรรมศาสตร์ บุญยงจึงให้เข้ารับหน้าที่ดูแลกิจการด้านการผลิต
ที่โรงงาน แอล. พี. แสตนดาร์ดรับทอดจากอัญญา
เพิ่มหญิงกล่าวว่า เพิ่งจะเข้ามารับหน้าที่นี้เมื่อปีที่ผ่านมา ดังนั้นขณะนี้จึงเป็นไปในลักษณะของการเรียนรู้งานจากผู้ที่มีประสบการณ์ในโรงงานแห่งนี้
อย่างไรก็ตามเพิ่มหญิงได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า เขาจะพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิตซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่
จากโอกาสทางการศึกษาที่พี่น้อง 4 คนได้รับจากประเทศสหรัฐอเมริกาทุกคน ได้บ่งบอกถึงความสามารถของเขาเหล่านั้นว่าในด้านความคิดความอ่านหรือการกระทำมีอยู่โดยเท่าเทียมกันหรืออาจมากกว่ากันด้วยซ้ำ
ดังนั้นสิ่งที่บุญยงหวั่นวิตกในเรื่องของความขัดแย้งอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนย่อมมีสิทธิเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อปราศจากการควบคุมจากผู้มีบารมีสูง
การป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งของลูก ๆ โดยการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นความคิดหลักที่บุญยงหมายมั่นว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและมีอนาคตไกล
"หากบริษัทถือหุ้นโดยมหาชนผู้ถือหุ้นเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนค้ำไม่ให้ลูก
ๆ ต้องทะเลาะกัน สิ่งที่พวกเขาต้องทำตลอดเวลาคือ บริหารอย่างไรให้บริษัทเจริญงอกงามมีกำไรดี
เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นหากเขามัวแต่ทะเลาะกันบริษัทขาดทุนก็จะโดนตำหนิจากผู้ถือหุ้นเหล่านี้ได้"
ความคิดของบุญยงที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นนี้ไม่ใช่เกิดจากแนวความคิดของตนเองเป็นการส่วนตัว
ทว่าเป็นการดำเนินรอยตามการเติบโตของสหพัฒนฯ ซึ่งมีนายห้างเทียมเป็นผู้นำกลุ่มในขณะที่มีชีวิตอยู่อันเป็นบุคคลที่บุญยงนับถือและศรัทธาในรูปแบบการบริหารงานของนายห้างเทียมมาโดยตลอดนั่นเอง
บุญยงศึกษาการเจริญเติบโตของนายห้างเทียมผู้นำสหพัฒนฯเป็นหลักแม้ว่าสหพัฒนฯจะมีอายุเพียงครึ่งหนึ่งของบริษัทห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) ก็ตาม แต่การแตกออกไปโตของสหพัฒน์ฯ จัดได้ว่าเป็นการบริหารของมือชั้นบรมครูเลยทีเดียว
เช่นการแตกตัวของบริษัทลูกซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 200 บริษัท และมีบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึง
19 บริษัทเฉพาะบริษัทแม่บริษัทเดียวคือสหพัฒนพิบูลมียอดรายได้ในปีที่ผ่านมาถึง
4,500 ล้านบาทแต่ถ้าเป็นสหกรุ๊ปรวม 200 กว่าบริษัทในเครือจะมีรายได้ร่วม
10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
ความเจริญเติบโตของสหพัฒนฯ และการโยงใยเครือข่ายของสหกรุ๊ปทำให้บุญยงนำมาเป็นแบบอย่างของการทำให้ว่องวานิชกรุ๊ปโตแม้จะไม่เท่าสหกรุ๊ปแต่ใกล้เคียงก็ยังดี
ขณะเดียวกันในด้านการวางตัวบุคคลเพื่อสืบสานมรดกทางการค้าไว้ก่อนที่ตนเองจะหมดแรงย่อมทำ
ให้กิจการมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไม่ทำให้ต้องหยุดชะงักเพราะขาดผู้นำ
นอกจากการมองของบุญยงในแง่ของการป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นกับลูก
ๆ ของเขาในอนาคตถึงกับต้องนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว อีกประเด็นหนึ่งคือการจัดสรรความรับผิดชอบของลูก
ๆ แต่ละคนของบุญยงรวมทั้งเขยและหลาน ๆ ด้วยแล้ว ก็น่าที่จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้องค์กรของห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) ห่างไกลความหายนะหรือล่มสลายเพราะลูกหรือชนรุ่นที่ 3 ทะเลาะกันเองได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
นั่นคือการแตกออกไปโตใน ธุรกิจสายใหม่ ๆ และจัดผู้ดูแลตาม ความถนัดของแต่ละคน
อย่างไรก็ตามประเด็นของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของตระกูลว่องวานิชในชน2
รุ่นต่างมีมุมมองที่ต่างกันคือพ่อซึ่งเป็นชนรุ่นที่ 2 ของตระกูลมองว่าเป็นการป้องการการทะเลาะเบาะแว้งได้ดีแต่ลูก
ๆ กลับมองว่ารุ่นที่ 3 นี้กลับมองว่าเป็นการระดมทุนและกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจซึ่งเป็นความจำเป็นของสมัยปัจจุบันมากกว่า
ว่องวานิชกรุ๊ปจึงเกิดขึ้นในรุ่นที่ 3 นี้แทนโครงสร้างเดิมที่บริษัทห้างขายยาอังกฤษ
(ตรางู) เป็นบริษัทแม่ ด้วยการชูว่องวานิชกรุ๊ปเป็นบริษัทแม่แล้วจัดกลุ่มธุรกิจเป็นหมวดหมู่จากบริษัทในเครือมาแบ่งสาย
และเริ่มพัฒนาระบบเข้าสู่ความเป็นองค์กรสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการระดมมืออาชีพเข้ามาบริหาร
การพัฒนาบุคลากรภายใน การร่วมทุนกับต่างประเทศการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้และการหวังพึ่งข้อมูล
เพื่อเป็นปัจจัยเอื้อให้กับการตัดสินใจที่จะลงทุนหรือขยายธุรกิจออกไปได้แน่นอนมากยิ่งขึ้น
นี่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการเปลี่ยนแปลงของชนรุ่นหลานว่องวานิชในปีหน้า