Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2535
"เพื่อเห็นแก่ชาติได้โปรดเถอะให้เอกชนเป็นเจ้าของสถานี ทีวี-วิทยุเดี๋ยวนี้"             
 


   
search resources

News & Media
คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.)




สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งใหม่โดยเอกชนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แม้ว่าในทางเทคนิคด้านคลื่นวิทยุจะมีความแออัด แต่ยังมีทางออกและเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน ปัญหาอยู่ที่ว่าสิทธิ์นี้จะเข้าสู่มือของเอกชนได้อย่างไร ในเมื่อวงการนี้ดำรงอยู่ด้วยการผูกขาดมาโดยตลอดภายใต้ผลประโยชน์ที่มองไม่เห็น ระบบบริการจัดการที่เละเทะ และที่สำคัญคือกฎหมายและนโยบายอันคับแคบ

โทรทัศน์เครือข่ายของประเทศมีอยู่ด้วยกัน 5 ช่อง ทั้งหมดเป็นของรัฐบาลและกองทัพ เช่นเดียวกับวิทยุประมาณเกือบ 500 สถานีทั่วประเทศที่สี่เหล่าทัพครอบครองอยู่ถึง 244 สถานี หรือคิดเป็นประมาณ 50% และส่วนที่เหลือนั้นถ้าไม่ใช่ของกรมประชาสัมพันธ์หรือองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ก็ต้องเป็นของหน่วยงานราชการหน่วยใดหน่วยหนึ่งเสมอ (ดูตาราง)

สิทธิ์ในการครอบครองสื่อวิทยุโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงหรือที่เรียกว่าสื่ออิเล็คทรอนิกส์นั้นไม่มีแม้แต่แห่งเดียวที่เป็นของเอกชน

ความเป็นจริงนี้นับว่าเป็นความขมขื่นอย่างมากสำหรับสื่อทั้ง 2 ชนิดนี้ เพราะระบบกรรมสิทธิ์ผูกขาดนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคับแคบทางด้านอิสรภาพและเสรีภาพ

หากเทียบกับสื่อสิ่งพิมพ์ย่อมจะเห็นได้ชัดเพราะสื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นของเอกชนมาเนิ่นนานแล้ว ยิ่งในช่วงเวลา 2-3 ปีให้หลังมานี้ยิ่งพัฒนาไปมากขึ้นด้วยการก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กลายเป็นสื่อที่มีมหาชนเป็นเจ้าของอย่างเต็มตัวมีเสรีในการเสนอข่าวสารมากกว่า ในขณะที่โทรทัศน์และวิทยุคงลักษณะแห่งการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลและกองทัพอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยในเวลาปกติจะดูมีอิสระดีพอสมควร และมีรูปลักษณ์ออกไปในทางเป็นสื่อพาณิชย์มากกว่า เนื่องจากเอกชนส่วนหนึ่งได้รับสัมปทานเข้าไปผลิตรายการ

แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดมีวิกฤตการณ์ที่รัฐบาลเป็นคู่กรณี ความจริงที่ว่าใครคือผู้กุมสิทธิ์ที่แท้จริงก็เป็นต้องได้รับการพิสูจน์และตอกย้ำอยู่ทุกครั้งไป

เท่าที่ได้มีสิทธิเสรีภาพบ้างในยามปกติจึงเป็นเสมือนหนึ่งภาพลวงตา ไม่ถาวร และเป็นภาพที่ขึ้นกับการกำหนดของผู้เป็นเจ้าของสถานีเป็นสำคัญ ภาวะแห่งการเป็นลูกไก่ในกำมือที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง และไม่สามารถต่อรองมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ

วิกฤตแห่งการนำเสนอข่าวสารของโทรทัศน์และวิทยุเมื่อเดือนพฤษภาคมนั้นคือบทพิสูจน์ที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะขบวนการเพรียกหาระบบเสรีหลังเดือนพฤษภาคมไม่เพียงแต่เกิดขึ้นต่อระบบการเมืองเท่านั้น ระบบการสื่อสารมวลชนก็ได้รับการทวงถามถึงความเป็นเสรีที่โปร่งใสเช่นเดียวกัน ตลอดจนมีการตั้งข้อสังเกตอย่างจริงจังกับสภาพการครองครองกรรมสิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัญหาระดับรากเหง้าด้วย

กระแสเสียงเรียกร้องให้เปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเป็นเจ้าของสถานีวิทยุโทรทัศน์ (TELEVISION) และวิทยุกระจายเสียง (RADIO) ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหม่ทีเดียวนัก เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยได้มีการผลักดันอย่างจริงจังมาก่อน และแม้ว่าจะได้มีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อทั้ง 2 ประเภทนี้มาโดยตลอด แต่ก็มักเป็นเรื่องของเสรีภาพในระดังที่เกี่ยวกับคนหรือเสรีภาพของสารเท่านั้น ส่วนเสรีภาพในระดับโครงสร้างไม่ค่อยได้มีการกล่าวถึงมากนัก

ที่เป็นเช่นนี้ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าระบบเซนเซอร์เนื้อหารายการต่าง ๆ นั้นมีลักษณะของการคุกคามอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เรื่องของระบบกรรมสิทธิ์หรือโครงสร้างการถือครองสื่อออกจะไกลตัวกว่า อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการด้วยกัน การจะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องที่กระทำได้ง่าย ๆ

สิ่งที่เป็นความจำเป็นและเงื่อนไขที่ยุ่งยากในการตั้งสถานีแห่งใหม่ก็คือเรื่องการขออนุญาต ซึ่งมีอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก ต้องขออนุญาตทำการกระจายเสียงหรือแพร่ภาพ ประการที่สอง ต้องขออนุญาตใช้ความถี่วิทยุซึ่งต้องเกี่ยวข้องกังหน่วยงาน 2 หน่วยได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์และกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยหน่วยงานแรกเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลด้านการดำเนินการส่งกระจายเสียงตาม พรบ. วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ส่วนหน่วยงานหลังเป็นผู้มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ และมีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ. วิทยุคมนาคม

อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้ว อำนาจการพิจารณาอนุญาตที่แท้จริงนั้นจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ 2 ชุดเป็นสำคัญ

หนึ่งคือ คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า กบว. ซึ่งในหมวด 1 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ชื่อว่า ระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2518 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการตั้งสถานีไว้อย่างชัดเจน 2 ประการด้วยกัน นั่นคือ (1) กำหนดเงื่อนไขและวิธีการในการจัดตั้งหรือย้ายสถานี และ (2) พิจารณาและอนุญาตให้จัดตั้งหรือย้ายสถานี

ส่วนคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งก็คือ คณะกรรมการบริหารความถี่วิทยุคมนาคม หรือ กบถ. ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายด้านการบริหารและการจัดสรรความถี่ รวมทั้งมีสิทธิ์ขาดในการอนุมัติให้ใช้ความถี่คลื่นวิทยุด้วย อำนาจการตัดสินว่าคลื่นใดจะให้ใช้ในกิจการใดและแก่ใครนั้นอยู่ในมือของ กบถ. อย่างเต็มที่ทีเดียว

การขอตั้งสถานีโดยทั่วไปจึงต้องผ่าน กบว. และ กบถ. โดยแรกสุดผู้จะขอเปิดสถานีต้องยื่นเรื่องไปยัง กบว. ซึ่งมีอนุกรรมการย่อยคณะหนึ่งชื่อว่าคณะอนุกรรมการฝ่ายเทคนิคของ กบว. อันมีอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นประธานจะเป็นผู้ทำการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในแง่มุมต่าง ๆ ทางด้านเทคนิค จากนั้นจึงเข้าสู่การพิจารณาของ กบถ. ว่าจะอนุมัติให้ใช้ความถี่ที่มีอยู่หรือไม่ จากนั้นเรื่องก็จะส่งกลับคืนมาให้คณะกรรมการชุดใหญ่ของ กบว. ประชุมพิจารณาอนุมัติทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง (ดูแผนภูมิ)

"ในการอนุญาต ปกติเขาก็ดูเรื่องจุดประสงค์การตั้งสถานี ซึ่งก็มักมีฟอร์มอยู่แล้วว่าเพื่อการศึกษา เพื่อความมั่นคง เป็นสถานีด้านวัฒนธรรมหรือสถานีที่ให้บริการทุกด้านแล้วแต่จะระบุกัน อันนี้ยื่นต่อ กบว. ซึ่งก็จะดูด้วยว่าคนเข้ามาขอนั้นมีความพร้อมและน่าเชื่อถือหรือไม่ จะสร้างปัญหาความมั่นคงต่อชาติไหม ก่อความวุ่นวายหรือเปล่า ทำนองนั้น จากนั้นก็ต้องยื่นขอต่อกรมไปรษณีย์ดูว่ามีคลื่นว่างไหม จะกระจายเสียงด้วยกำลังส่งเท่าไร ดูเรื่องที่เป็นด้านเทคนิคทั้งหลาย คือทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกันถ้าผู้ขอมีความเหมาะสมแต่คลื่นไม่ว่างก็อด หรือถึงคลื่นว่างแต่ไม่มีความเหมาะสมก็อดเหมือนกัน" อรทัย ศรีสันติสุข คณบดีคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บอกเล่าถึงเงื่อนไข

ต่อเมื่อขั้นตอนการอนุญาตเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะดำเนินการจัดตั้งสถานีต้องเกี่ยวข้องกับกรมไปรษณีย์ฯ อีก ในฐานะเป็นผู้ควบคุมการนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการติดตั้งตรวจสอบ และเมื่อจะทำการแพร่ภาพกระจายเสียงก็ต้องติดต่อกับกรมประชาสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่งนำรายการไปให้พิจารณา

"การขอนำเข้าเครื่องส่งและอุปกรณ์สถานีต่าง ๆ จะต้องมีสัญญาก่อนคือทางเราทำกับทางเจ้าของสถานที่ได้รับอนุญาตหรืออาจะเป็นผู้ได้สัมปทาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันแต่อุปกรณ์ทั้งหลายซื้อแล้วก็ตกเป็นของทางราชการหมด แม้ผู้สัมปทานจะเป็นคนซื้อ พอนำเข้าแล้วกรมไปรษณีย์จะเป็นผู้ตรวจสอบด้วยว่าถูกต้องหรือเปล่า ต้องมีการคุมในทางด้านเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องกำลังส่งจะต้องตรงตามที่ได้รับอนุญาต" ประภากร จุลกะรัตน์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายกิจการโทรทัศน์และวิทยุบริษัทล็อกซเล่ย์กล่าว

คลื่นวิทยุนับเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สุดในการตั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งคลื่นวิทยุนั้นก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์ทางการสื่อสาร เป็นพาหนะนำเสียง ภาพ และสัญญาณได้

คลื่นวิทยุนับเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากและมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งแต่ละช่วงคลื่นก็มีคุณสมบัติที่เอื้อประโยชน์ได้แตกต่างกัน จึงทำให้จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการด้านการใช้ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โดยที่หลักการใหญ่ ๆ จะมีแบบแผนค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้วจากการกำหนดของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ - THE INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION UNION (ITU)

ITU เป็นองค์กรกลางที่ทำหน้าที่ควบคุมและบริหารความถี่วิทยุทั่วโลกด้วยการควบคุมผ่านรัฐบาลของแต่ละประเทศ ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นเป็นหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลขที่จะต้องติดต่อกับ ITU เพราะได้เข้าเป็นสมาชิกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อปี 2428 ก่อนที่จะมีการใช้คลื่นวิทยุภายในประเทศเสียอีก

"ITU แบ่งโลกเป็น 3 ภูมิภาค และแบ่งซอยแต่ละคลื่นสำหรับการใช้แต่ละแบบ เป้าหมายคือเพื่อป้องกันการรบกวนกัน โดยเป็นการแบ่งตามมาตรฐานทางเทคนิค ประเทศที่มีความพร้อมก็จะเข้าเป็นสมาชิก ITU เพราะได้ประโยชน์คือสามารถตามเทคโนโลยีทันและได้รับการคุ้มครองสิทธิ ถ้ามีใครมารบกวนการใช้คลื่นของเราก็ทักท้วงได้" เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ รองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขอธิบายให้เห็นถึงบทบาทของ ITU

คลื่นวิทยุที่ใช้ส่งสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุระบบ F.M. เป็นคลื่นที่มีความถี่สูงมากเรียกว่า VHF(VERY HIGH FREQUENCY) ส่วนวิทยุระบบ A.M. อยู่ในย่านความถี่ปานกลางคือ MEDIUM FREQUENCY) ก็เป็นอีกย่านหนึ่งที่สามารถใช้สำหรับโทรทัศน์ได้

ตามหลักการสากลแล้วถือกันว่าคลื่นวิทยุนั้นเป็นสมบัติของมนุษยชาติ การจัดสรรจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลักใหญ่ โดยนัยเช่นนี้ย่อมหมายความว่า เจ้าของคลื่นที่แท้จริงนั้นคือประชาชน และหากผู้ใดได้คลื่นไปใช้ไม่ว่าจะเพื่อการใดก็ตาม อย่างน้อยกิจการนั้นจะต้องยังประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่ด้วย

แต่สำหรับหลักการการจัดสรรคลื่นความถี่ของไทยนั้นถือว่าราชการคือผู้เป็นเจ้าของคลื่นวิทยุทั้งหมด ดังนั้นจึงมีแต่หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจเท่านั้นที่มีสิทธิ์ถือครองเป็นเจ้าของได้

หลักการนี้แม้ไม่ได้ระบุไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นหลักคิดที่อยู่เบื้องหลังการร่างกฎหมาย อีกทั้งยังได้ครอบงำในการทำงานจัดสรรความถี่ด้วย

คลื่นวิทยุ "ทั้งหมด" ในการสื่อสาร "ทุกชนิด" ถูกระบุว่าเป็นของรัฐ (อันมีความหมายว่ารัฐบาล) และความถี่แทบทั้งหมดก็ล้วนมีหน่วยงานของรัฐจับจองไว้แล้ว

นอกจากนี้เนื่องจากสถานีส่งของวิทยุและโทรทัศน์นั้นถือว่าเป็นสถานีวิทยุคมนาคมด้วยจึงต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดตามมาตรา 5 และ 6 ของ พรบ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 นั่นคือหากผู้ใดจะตั้งสถานีก็ต้องได้รับอนุญาตจากกรมไปรษณีย์โทรเลขก่อน ยกเว้นแต่หน่วยงานราชการบางหน่วยเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์พิเศษ

"ในจุดนี้ มีกฎหมายออกมาก่อนกำหนดเลยว่าคนที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของคลื่นต้องเป็นเฉพาะหน่วยงาน 10 กว่าหน่วยเท่านั้นเอง มีการระบุเลยว่ากระทรวงอะไรบ้าง แม้แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่มีสิทธิ์ อย่างที่ธรรมศาสตร์หรือจุฬาฯ มีคลื่นนี่ก็ขอยืมมา ของธรรมศาสตร์เป็นปชส. 10 หมายความว่าคือคลื่นของกรมประชาสัมพันธ์ แต่ก็เรียกว่าเป็นการให้ยืมกันแบบถาวร เราต้องยืมมาเพราะว่าไม่มีสิทธิ์ขอจากกรมไปรษณีย์โดยตรง" อรทัย ศรีสันติสุขแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เล่าให้ฟัง

หลักการไม่ถูกต้องในลักษณะเดียวกันนี้มีอยู่ในข้อกำหนดด้านการดำเนินบริการส่งกระจายเสียงด้วย กล่าวคือ กิจการด้านนี้ถูกขีดกรอบให้เป็นของรัฐบาลเท่านั้น เอกชนไม่มีสิทธิ์

จริงอยู่ที่ว่าจุดกำเนิดแรกแห่งกิจการกระจายเสียงและแพร่ภาพนั้นมีหน่วยงานราชการเป็นผู้บุกเบิกผลักดัน สถานีจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของหน่วยราชการมาก่อน แต่ถ้านับระยะเวลาจากจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของไทยทั้ง 2 ชนิดจนกระทั่งปัจจุบัน กาลเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้วและระบบเสรีก็ไม่มีพัฒนาการเรื่อยมาทำให้ภาคเอกชนก้าวเข้ามามีบทบาทอย่างมากในส่วนต่าง ๆ ของสังคม หากกิจการด้านนี้ได้รับการปลดปล่อยให้พัฒนาตามธรรมชาติก็ย่อมแน่นอนว่ามาถึงวันนี้น่าจะมีเอกชนเป็นเจ้าของสื่อวิทยุหรือโทรทัศน์กันไม่น้อย

เพราะฉะนั้นสภาพของการมีแต่สถานีของหน่วยราชการทั้งพลเรือน และทหารดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มิได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ หรือเป็นลักษณะธรรมชาติแต่อย่างใด หากเกิดขึ้นจากหลักคิดพื้นฐานที่ปิดกั้นและกฎระเบียบอันคับแคบ

ข้อความในระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2518 ตอนหนึ่งนับว่าน่าสนใจมากข้อความดังกล่าวคือ "ฉะนั้นเพื่อให้สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่งอยู่ภายใต้ระเบียบเดียวกัน และดำเนินกิจการให้เป็นประโยชน์โดยแท้จริงแก่รัฐและประชาชนให้มากที่สุด คณะรัฐมนตรีมีมติให้กำหนดระเบียบขึ้นไว้.."

ข้อความเหล่านี้อ่านผ่าน ๆ อาจจะไม่บอกเล่าอะไรมากนัก แต่หากพิจารณาถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า ระเบียบนี้ตราขึ้นโดยรัฐบาลสมัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นระเบียบฉบับที่ก่อให้เกิดกบว. ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลด้านการดำเนินกิจการวิทยุและโทรทัศน์ของประเทศทั้งหมด ประโยคที่ว่า "สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ" จึงมีความหมายเท่ากับและเท่ากันกับ "สถานีวิทยุและโทรทัศน์ทั้งประเทศ" นั่นเอง

ความคับแคบของหลักการและกฎหมายดังที่กล่าวมานี้ กล่าวได้ว่าคือปัญหาพื้นฐานที่สุดกีดกันมิให้เอกชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของสื่อโทรทัศน์และวิทยุอย่างค่อนข้างจะโดยสิ้นเชิง และออกจะเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก แต่นี่ก็เป็นเพียงชั้นต้นเท่านั้นยังไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหาในภาพรวม

"ธรรมศาสตร์ขอคลื่น F.M. มาร่วม 10 ปีแล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้" อรทัย ศรีสันติสุข คณบดีคณะวารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

คำตอบที่ตามมาสำหรับคำถามว่า "เคยมีแววไหม" นั้นน่าสนใจมาก

"สมัยนายกฯ ชาติชายเคยใกล้จะได้แล้วแต่เปลี่ยนรัฐบาล คนที่ติดต่อเอาไว้ก็เลยทำให้ไม่ได้คือเรื่องนี้เป็นเรื่องสลับซับซ้อนมาก การที่จะได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังติดต่อกับใครคนคนนั้นเขาอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะอะไร"

"สายสัมพันธ์" คำเดียวสั้น ๆ คำนี้ดูเหมือนจะมีความหมายเสมอและมีอย่างมากด้วยในสังคมไทยโดยเฉพาะในระบบการบริหารราชการ ! ….

ในระยะเวลาประมาณ 5-6 ปีมานี้ ทั้ง กบถ. และ กบว. ต่างก็ปฏิเสธที่จะอนุมัติให้เกิดการตั้งสถานีใหม่ ๆ เรื่อยมา โดยคำตอบที่ผู้ขอคลื่นวิทยุส่วนใหญ่ได้รับก็คือ ความถี่เต็ม มีการจองไว้หมดแล้ว ไม่มีคลื่นว่างเลย ในขณะที่คำตอบต่อการขออนุญาตดำเนินกิจการกระจายเสียงและแพร่ภาพจะมีอยู่ว่าโทรทัศน์และวิทยุของไทยมีมากมายอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องเพิ่มจำนวนขึ้นอีก

ต้องยอมรับว่า คำตอบทั้งของ กบถ. และ กบว. ล้วนเป็นความจริง !

ในเรื่องของความถี่ ถ้าไม่นับย่าน UHF ที่ใช้ส่งโทรทัศน์ซึ่งยังว่างอยู่ทั้งหมด ความถี่ย่าน VHF สำหรับทั้งวิทยุและโทรทัศน์นั้นเต็มมานานแล้ว ส่วนในเรื่องจำนวนสื่อ ประเทศไทยก็จัดว่าเป็นประเทศที่ปริมาณสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 2 ชนิดมากเหลือเกินถึงกับติดอันดับต้น ๆ ในแถบทวีปเอเชียเลยทีเดียว โดยเฉพาะโทรทัศน์เครือข่าย 5 แห่งนั้นเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วปรากฏว่ามากกว่าถึงเท่าตัว

ข้อเท็จจริงทั้ง 2 ข้อนี้โดยตัวของมันเองออกจะมีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและเสริมกันอย่างยิ่งในการใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการไม่อนุมัติการจัดตั้งสถานีแห่งใหม่ เพราะแม้ข้ออ้างที่ว่าไม่มีความถี่ว่างจะมีความหนักแน่นอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงคนในวงการต่างก็รู้ว่าในส่วนของโทรทัศน์ยังมีคลื่น UHF ว่างอยู่ทั้งหมดดังนั้นการได้ข้ออ้างที่ว่าจำนวนสถานีมีมากมายแล้วมาเสริม จึงช่วยย้ำน้ำหนักให้เห็นความไม่จำเป็นอย่างยิ่งของการมีสถานีเพิ่มขึ้น

ในระยะหลายปีมานี้จึงแทบไม่มีการอนุญาตตั้งสถานีแห่งใหม่เลย ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานราชการหลายแห่งต่างก็ยื่นขอกันมากมาย เพียง 12 หน่วยงานก็ยื่นเสนอขอตั้งสถานีวิทยุเพิ่มรวมแล้วมากถึงประมาณ 60 สถานี ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่อกหัก มีที่ผ่านการอนุมัติก็คือของกรมประชาสัมพันธ์

ส่วนทางด้านทีวีก็มีการขอใช้คลื่นย่าน UHF กันหลายหน่วยงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคำขอจากหน่วยทหาร ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเรือหรือกองทัพอากาศ แต่โครงการทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นอันต้องพับไปทั้งหมด ไม่มีการอนุญาตให้เพิ่มโทรทัศน์อีกเลยหลังปี 2528 ที่โทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว

ในสภาพเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องพูดถึงโอกาสของเอกชน หรือแม้แต่กรณีสถานีวิทยุ F.M. ของธรรมศาสตร์เองก็นับว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะสถาบันการศึกษาไม่ใช่องค์กรที่มีกำลังอำนาจบังคับย่อมจะต้องได้รับการพิจารณาเป็นรายหลัง ๆ นอกเสียจากว่าสามารถหาตัวต่อที่ใหญ่พอได้ ดังที่เคยมีแววมาแล้วในสมัยรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ

"เวลาที่พูดกันว่า กรุงเทพฯ มีแท็กซี่เยอะแล้วไม่ควรให้เกิดอีก เสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น ป้ายแท๊กซี่ขายกันเท่าไร? กรณีนี้เหมือนกัน ผมเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการตั้งสถานีแน่ ๆ แต่ผมมองว่าถ้าเราต้องการความหลากหลาย จำนวนก็ต้องมาก อย่างน้อยประชาชนไม่ชอบฟังอันหนึ่งก็สามารถเปิดไปฟังอีกอันหนึ่ง" นี่เป็นความเห็นของเลอสรร ธนสุกาญจน์อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผู้เคยเป็น 1 ในคณะที่ปรึกษา "บ้านพิษณุโลก" ของอดีตนายกฯ ชาติชาย และเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเปิดเสรีสื่อโทรทัศน์วิทยุได้เป็นอย่างดี ทว่าเอกสารทั้งหมดได้หายไปแล้วพร้อมกับการ รสช.

"เรื่องเปิดสถานีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาโดยรอบคอบ ถ้ามีทีวีช่องเดียวแต่เป็นช่องที่ถูกใจคุณก็คงบอกว่ามีสถานีเดียวพอ ตอนนี้เรามี 5 ช่องทำให้ดีก็เหลือเฟือแล้ว ไม่ใช่ว่า 4 ช่องมีแต่รายการเหมือนกันหมด ผมว่ามีสัก 20 ช่องก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมา ข้อที่เขาต้องพิจารณากันมากก็คือพบว่า การเปิดช่องใหม่ก็เหมือนกับเปิดโอกาสให้คนกลางเข้ามาหากินเท่านั้นเอง อีกประการหนึ่งเนื่องจากการจัดสรรคลื่นระบบยูเราต้องจัดเป็นระบบเครือข่ายเหมือนกันเหมือนที่ระบบวีมี 5 เครือข่าย ทีนี้เราก็จัดได้อยู่ 5 เครือข่ายแต่มีคนขอมาประมาณ 9 หรือ 11 ราย ปัญหาคือจะให้ใครล่ะ" เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ รองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ผู้ก้าวมาจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารความถี่วิทยุแสดงทัศนะพร้อมกับแตกประเด็นที่น่าสนใจออกไปอีกถึง 2 ประเด็นด้วยกัน หนึ่งคือประเด็นเกี่ยวกับการขอสถานีเพื่อใช้ "หากิน" และสองคือเกี่ยวกับเทคนิคเรื่องคลื่น

ในยุคหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงทศวรรษที่แล้วและก่อนหน้านั้น มีการอนุญาตให้เปิดสถานีวิทยุและโทรทัศน์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยปราศจากควบคุมใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผลก็คือได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ลักษณะหนึ่งมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นั่นคือสื่ออิเล็กทรอนิกส์มิได้เป็นสื่อมวลชนในความหมายที่แท้จริง แต่เป็นสื่อโฆษณาการค้ามากกว่า มีหน่วยงานหลายหน่วยทีเดียวที่ไม่ได้ดำเนินการบริหารสถานีเอง และไม่ผลิตรายการอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ให้เอกชนรับช่วงสัมปทานหรือเช่าเวลาไป ทำตัวเป็นเสือนอนกิน คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวหรืออีกลักษณะหนึ่ง บางหน่วยงานก็ใช้สื่อเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อตามความต้องการของตนอย่างเต็มที่ความเสรีเกิดขึ้นอย่างไม่มีขอบเขตและไร้ระบบอย่างยิ่ง

"ตอนขอเป็นเจ้าของคือหน่วยราชการ แต่ได้ไปแล้วก็ไปผ่องถ่ายต่อ ทำสัญญากัน บางรายก็ขอมาตามความจำเป็นจริง แต่บางรายมีไว้เพื่อค้าขายชัดเจน บางทีการพิจารณาของเราก็ลำบากเหมือนกัน" เศรษฐพรกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

โครงสร้างการควบคุมของรัฐบาลมักมีข้อบกพร่องให้เห็นอยู่เสมอ เช่นในกรณีนี้ ในขณะที่การขอตั้งสถานีมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะปิดกั้นมากและในส่วนของการกระจายเสียงแพร่ภาพก็มีมาตรการควบคุมที่เต็มไปด้วยรายละเอียดจุกจิกโดย กบว. แต่ขั้นตอนระหว่างหลังการขอจนถึงการผลิตรายการกลับไม่มีหน่วยงานไหนควบคุมดูแลเลย

"กบว. ไม่อาจเข้าไปตรงนั้นได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเขาได้ไปแล้วทำอะไร ข้อนี้ไม่ต้องถามผม ผมไม่ตอบ" วีรพล ดวงสูงเนิน ผู้อำนวยการกองงาน กบว. เป็นเลขาของคณะกรรมการ กบว. โดยตำแหน่งเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้

สำหรับความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องคลื่นนับเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ปัญหาที่ว่าไม่มีความถี่ว่างดูจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดที่จะต้องพบ

"การมีสถานีมากนั้น เหตุก็เนื่องมาจากที่กฎหมายมีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานบางหน่วยมีสิทธิ์พิเศษ ซึ่งต่างก็รีบฉวยโอกาสกัน ขอกันเต็มที่อย่างกองทัพทั้งหลายก็มีหมด ส่วนเรื่องคลื่นยอมรับว่าค่อนข้างเต็ม แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็มีการสงวนคลื่นกันพอสมควร อาจจะมีเหลือบ้างในบางหน่วย จองไว้โดยไม่ได้ใช้" แหล่งข่าวในวงการสื่อสารมวลชนตั้งข้อสังเกต

เรื่องการจองคลื่นดูเหมือนจะเป็นการปฏิบัติอันเป็นปกติที่คนในวงการต่างก็รู้ว่า "เขาทำกันทั้งนั้น"

แหล่งข่าวใกล้ชิดกรมไปรษณีย์โทรเลขเล่าให้ฟังว่า "การ LOCK คลื่นเป็นเรื่องของอิทธิพลและผลประโยชน์ เพราะคนที่จองคลื่นได้ก็ต้อง "เส้น" พอสมควร และส่วนหนึ่งกรมไปรษณีย์เองมั่นล่ะมักจะใส่ชื่อเป็นเจ้าของคลื่นนั้นคลื่นนี้เอาไว้ แล้วก็เก็บคลื่นเหล่านี้ไว้เพื่อให้กับผู้ขอบางคนที่คัดสรรแล้ว หรืออาจมีการเสนอไปให้ผู้อยู่ในอำนาจบางคนใช้ อันนี้หมายถึงคลื่นที่ใช้ในการสื่อสารทั่ว ๆ ไป อีกอย่างหนึ่งก็คือโครงสร้างของกบถ.ที่ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของทหาร หน่วยงานความมั่นคง ดูจากตรงนี้ก็บอกเล่าหลายอย่างได้"

ในด้านหนึ่งคงต้องเห็นใจกรมไปรษณีย์โทรเลขอยู่เหมือนกันในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบจัดสรรคลื่น เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับความกดดันหลายลักษณะ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ขอเป็นหน่วยราชการ อย่างน้อยที่สุดก็คือความเกรงใจในแง่ที่เป็นราชการด้วยกัน ยิ่งกว่านั้นก็คือ หลายหน่วยที่ขอมาก็อาจมีอำนาจและบารมีสูงมาก แท้จริงแล้วการที่มีกลไกอย่างกบถ.ซึ่งประกอบไปด้วยระดับผู้ใหญ่จากหลาย ๆ หน่วยงานเกิดขึ้นมาช่วยทำหน้าที่เป็นเรื่องของการหาทางออกให้กับตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง นอกจากนี้การที่คลื่นมีชื่อคนจองไว้เต็มไปหมดก็ช่วยในแง่ของการทำให้การปฏิเสธทำได้ง่ายขึ้นมากส่วนที่ว่าได้ก่อให้เกิดภาวะของการเลือกปฏิบัติตามมา เกิดการปิดกั้นหรืออะไรอื่น ๆ นั่นก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวิทยุและโทรทัศน์ไม่ได้มีปัญหาในลักษณะที่กล่าวมามากนัก หรือถ้ามีก็ไม่ใช่เป็นการจองคลื่นไว้เฉย ๆ แต่เป็นการจองในลักษณะของการขอเปิดสถานีเอาไว้มากมายไปหมดจนความถี่เต็ม โดยเฉพาะย่าน VHF ไม่มีเหลือแล้วสำหรับทั้งโทรทัศน์และวิทยุ F.M.

คลื่นที่มีความถี่สูงมากหรือ VHF นี้คือช่วงความถี่ตั้งแต่ 30-300 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) แถบคลื่นช่วงที่ได้รับการจัดให้ใช้สำหรับวิทยุกระจายเสียงระบบ F.M. คือระหว่าง 80-108 MHz และมีการแบ่งช่องห่าง 0.5 เท่ากับมีอยู่ 40 ช่อง ซึ่งขณะนี้มีการครอบครองหมดแล้ว ทางด้านโทรทัศน์มีการแบ่งช่องไว้ทั้งสิ้น 11 ช่อง ตั้งแต่ 2-12 ขณะนี้ยังเหลือช่อง 2, 4, 6, 8 และ 10 อยู่ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากจะทำให้เกิดการรบกวนกัน

"จริง ๆ สามารถใช้ได้ทั้ง 11 ช่อง แต่ถ้าสถานีใกล้กันมากก็มีการรบกวน จึงให้ใช้ช่องเว้นช่องแต่ถ้าเป็นคนละพื้นที่ อย่างต่างจังหวัดก็มีช่อง 7 ได้อีกและจริง ๆ เราก็ใช้คลื่นอยู่ทั้งหมด โดยแยกสลับพื้นที่กัน ถ้าจัด 11 ช่องในกรุงเทพฯ รับรองว่าดูไม่ได้เลยเพราะต่างออกมาแรง กวนกันเอง" รองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขอธิบาย

อย่างไรก็ตาม หากจะพูดถึงความเป็นไปได้เชิงเทคนิคเรื่องคลื่นสำหรับการเปิดสถานีใหม่ก็มิใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกเสียทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์ก็ตาม โดยทางด้านโทรทัศน์ออกจะดีกว่าเพราะยังมีความถี่ย่าน UHF ให้ใช้ได้อย่างเต็มที่อีกถึงหลายสิบช่อง คุณสมบัติของคลื่นย่าน UHF ที่ต่างจาก VHF ก็คือจะมีรัศมีการส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกลน้อยกว่า แต่สามารถให้ภาพและเสียงที่มีคุณภาพดีกว่า คมชัดกว่า

เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ชี้แจงถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้เอาไว้ว่า "คลื่นยูเราทำแผนไว้แล้ว เป็น 5 เครือข่ายคลื่นยูมีรัศมีทำการแคบก็ต้องมีหลายจุดจำนวนสถานีตั้งได้เยอะ แต่ถ้าตั้งมากรัศมีบริการก็ต้องครอบคลุมพื้นที่เล็กลง"

ความหมายของตรงนี้คือ ถ้าจะใช้คลื่น UHF ให้ทำการแพร่ภาพไปถึงทั่วประเทศเหมือนกับช่อง 7 สี, ช่อง 9 หรือช่อง 3, ช่อง 5 ก็ตาม ก็จะมีได้อีก 5 เครือข่ายเท่านั้น แม้จะมีช่องแบ่งได้ถึงกว่า 80 ช่อง แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นสถานีลูกข่าย-นั่นคือความเป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดระดับหนึ่งในการจะมีสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่

ส่วนทางด้านวิทยุ ทางออกสำหรับภาวะอับจนที่เป็นอยู่นั้นอยู่ที่การแก้ไขทางเทคนิค ต้องซอยให้ได้ช่องมากขึ้นด้วยการบีบแถบความถี่จาก 0.5 ให้แคบลง ซึ่งในทางหลักวิชาประกอบกับกฎเกณฑ์ของ ITU สามารถบีบได้จนถึง 0.2 ซึ่งเท่ากับจะมีสถานีเพิ่มจาก 40 ช่องเป็น 100 ช่อง เพียงแต่ในทางปฏิบัติจริง ถ้าเป็นเช่นนั้นจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลื่อนความถี่สถานีที่แต่เดิมลงตัวอยู่ที่ห่างช่วงละ 5 จาก 90 ถัดไปเป็น 90.5, 91, 91.5, 92, 92.5 ฯลฯ เพราะฉะนั้นแทนที่จะบีบเป็น 0.2 ทางที่ดีกว่าก็น่าจะบีบเป็น 0.25 ซึ่งก็เท่ากับจะได้สถานีเพิ่มอีกเท่าตัว โดยสถานีเดิมไม่ต้องเปลี่ยนความถี่

"การทำอย่างนั้นในทางทฤษฎีตอบได้ 100% ว่าไม่มีความเสียหายอะไร รวมทั้งการรบกวนกันก็ไม่น่าจะเกิด แต่ในทางปฏิบัติของบ้านเราทำไม่ได้เพราะในการขอตั้งสถานีที่ทำ ๆ กันมาแต่เดิม มีการลักลอบเสริมกำลังส่งเกินกว่าที่ขอ เช่นได้รับอนุญาตให้ส่ง 10 กิโลวัตต์ แต่ส่งจริง 20 เพื่อให้ได้รัศมีทำการกว้างไกล เพื่อหวังโฆษณาหรืออะไรก็ตามแต่ เมื่อเป็นอยู่เช่นนี้ถ้าบีบลงไปก็จะเกิดการรบกวนกันอย่างบ้าคลั่งเลย ต้องคุมเรื่องกำลังส่งกันก่อน" เลอสรร ธนสุกาญจน์ อาจารย์ประจำจุฬาฯ ผู้ซึ่งเป็นกรรมการพัฒนากิจการอวกาศของกระทรวงคมนาคมอยู่ด้วยชี้ถึงลักษณะพิเศษของสังคมไทยที่ไม่ค่อยเคารพกติกาและหลักการกันเลย

สำหรับวิธีการคุมที่เลอสรรเห็นว่าน่าจะเป็นทางแก้ปัญหาได้ก็คือ จะต้องมีการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ให้สถานีเป็นของเอกชน เพราะ 1) เอกชนย่อมจะมีความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากกว่าเจ้าของเดิมซึ่งได้แก่ทหารหรือราชการ 2) คนฟังสามารถรู้ได้ถ้ามีการเพิ่มกำลัง ซึ่งเจ้าของที่เป็นเอกชนจะแคร์คนฟังมาก 3) เมื่อเกิดการกวนกัน ทั้ง 2 สถานีที่เป็นคู่กรณีจะเสียหายทั้งคู่ หรือเพิ่มฝ่ายเดียวฝ่ายที่เสียหายก็ย่อมต้องโวย ทำให้มีการตกลงในทางที่อยู่ในกฎเกณฑ์ได้

อุปสรรคเรื่องคลื่นเป็นอันว่าพอมีทางออกอีกส่วนหนึ่งก็คืออุปสรรคทางซีก กบว. ว่าด้วยด้านนโยบายในการออกใบอนุญาตจัดตั้งสถานี

วีรพล ดวงสูงเนิน ผู้อำนวยการกองงาน กบว. และเลขา กบว. กล่าวว่า "การเปิดให้เอกชนนั้นแล้วแต่นโยบายของรัฐขึ้นกับคณะรัฐมนตรีแต่ละชุดว่ามีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับกิจการด้านกระจายเสียง ถ้ามีนโยบายจะให้เป็นของเอกชนหรือของบริษัทมหาชนตามที่พูด ๆ กันมากตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ก็ย่อมกระทำได้โดยร่างกฎหมายขึ้นมา ถ้าผ่านสภาฯ ก็ใช้ได้แล้ว กบว. ไม่เกี่ยวไม่ใช่ผู้ร่างกฎหมาย แล้วแต่นโยบายของรัฐบาล แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายก็ต้องมีกฎหมายรองรับมีระเบียบ มีเครื่องมือ"

คำว่า "นโยบาย" เป็นคำที่มีความสำคัญมากและเป็นเรื่องของผู้บริหารประเทศ ไม่ใช่เกิดจากองค์กรที่มีลักษณะเป็น POLITICAL BODY อย่าง กบว. แม้ว่าบางครั้งเหมือนมีอำนาจมากต่อวิทยุและโทรทัศน์เป็นคณะกรรมการที่คอยกำกับนโยบายด้าน ELECTRONIC MEDIA นี้โดยตรง สามารถชี้ขาดตั้งแต่ในขั้นของการขอตั้งสถานีจนถึงการควบคุมด้านเนื้อหารายการ ขีดกรอบแห่งการหารายได้ด้านโฆษณาแต่ส่วนที่เปราะบางก็คือ สถานภาพของ กบว. เองอยู่ที่การชี้ขาดของคณะรัฐมนตรีเท่านั้นเอง

กบว. ทั้งคณะอาจถูกยุบเลิกได้โดยมติคณะรัฐมนตรีเนื่องจากกำเนิดมาเช่นนั้น นอกจากนี้ตำแหน่งประธานคณะกรรมการนั้นก็คือนายกรัฐมนตรีหรือคนที่นายกฯ มอบหมาย ความเป็นอยู่ของกบว. จึงมีลักษณะที่ผันผวนไปตามการเมืองและขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของคณะรัฐบาลแต่ละชุดเป็นสำคัญ การทำงานด้านนโยบายส่วนที่เป็นอำนาจหน้าที่รับผิดชอบจึงได้รับผลกระทบจากตัวแปรเหล่านี้ไปด้วย

ในการใช้อำนาจพิจารณาอนุญาติตั้งสถานีนั้น กบว. ใช้การประชุม เช่นเดียวกับการตัดสินในเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมดที่กระทำในรูปของคณะกรรมการเสมอและกรอบแห่งการพิจารณาก็อาศัยแนวนโยบายที่มีอยู่แล้วนั่นเอง

"นโยบายตอนนี้ก็คือให้ชะลอและระงับการจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงระบบ AM., F.M. และสถานีโทรทัศน์ในระบบอื่นนั่นคือ UHF ไว้ก่อน เป็นนโยบายที่เกิดจากมติคณะรัฐมนตรีตามสิ่งที่ กบว. เสนอขึ้นไป ออกมาตั้งแต่ประมาณปี 2530 ก่อนที่ผมจะมาเป็นเลขา กบว. สมัยนั้นมีการขอกันมากมีปัญหายุ่งยาก ท่านรองสนธิ บุณยะชัยเลยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งพิจารณาเรื่องนี้ส่งให้ ครม. อนุมัติเป็นมติ" วีรพล ดวงสูงเนินเล่าให้ฟัง

เรื่องการอนุญาตตั้งสถานีจึงเป็นอันจบตั้งแต่นั้นมา เพราะนโยบายที่ออกมาจำกัดกรอบการตัดสินใจไว้แล้ว

"ใครขอมาก็ติดหมดตอนนี้ ยากที่จะได้นอกจากหน่วยไหนบอกว่าถ้าไม่ได้สถานีต้องตายแน่บรรลัยแน่ อันนี้อาจจะเป็นไปได้ ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ" เลขา กบว. กล่าวติดตลก

เมื่อปี พ.ศ. 2530 เนื่องจากสภาฯ ได้ผ่านร่าง พรบ. วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ฉบับใหม่ออกมาแก้ไขฉบับปี 2498 และได้โยกเอาอำนาจหน้าที่ด้านการควบคุมและกำกับดูแลสื่อโทรทัศน์-วิทยุไปให้เป็นของกรมประชาสัมพันธ์ จากอำนาจหน้าที่จำนวน 8 ข้อที่มีอยู่เดิม ขณะนี้ กบว. จึงเหลืออยู่เพียง 2 ข้อเท่านั้นคือข้อ 1 และ 2 ที่เป็นอำนาจเกี่ยวกับการตั้งสถานีนั่นเอง

นี่นับได้ว่าสั่นคลอนสถานภาพของ กบว. ไม่น้อยเพราะจริง ๆ แล้วเมื่อนับตั้งแต่กฎหมายมีการประกาศใช้ กบว. ก็ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นเซอร์รายการแล้ว ที่ทำต่อมาจนกระทั่งถูกนายกฯ อานันท์ ปัญยารชุนยกเลิกไปเมื่อต้นปีนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปพลางระหว่างที่รอให้มีการกำหนดรายละเอียดในระเบียบและกฎกระทรวงเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วหน้าที่ กบว. ก็แทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอยปฏิเสธการขอตั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์

"โลกเปลี่ยนไปแล้ว การตั้งสถานีของทหารเป็นเรื่องที่ล้าสมัย แต่ความคิดที่จะทำทีวีใหม่ยังไม่ล้าสมัยเพียงแต่ว่า ใครจะเป็นเจ้าของแต่ต้องไม่ใช่กองทัพไม่มีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนั้น ผมพบว่ากองทัพมีสื่ออยู่ในมือมาก ทีวี 2 ช่อง สถานีวิทยุอีกเป็นร้อย แต่ไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือแม้แต่แก้ภาพพจน์ตัวเองก็ยังทำไม่เป็น" สมเกียรติ อ่อนวิมล แห่งแปซิฟิกกรุ๊ปประกาศกร้าว

จากการศึกษาของสมเกียรติเองเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว เขาพบว่า ถ้าจะลงทุนทำโทรทัศน์ UHF สัก 1 ช่อง ต้องใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาทสำหรับค่าเช่าอาคารสถานที่และเครือข่าย ไม่รวม SOFTWARE อื่น ๆ ถ้าคิดจากตัวเลขนี้ บวกเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขวันเวลาที่เปลี่ยนไป มีเงิน 2,000 ล้านก็เป็นเจ้าของโทรทัศน์ได้ ส่วนถ้าเป็นสถานีวิทยุ ตัวเลขก็จะอยู่ที่ระดับ 50-100 ล้านบาท

"ธุรกิจทีวีเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ธุรกิจวิทยุก็ยังพอทำได้ในต่างจังหวัด ผมเห็นด้วยกับการเปิดเสรีเพราะว่าปัจจุบันถึงจะเป็นชื่อของหน่วยราชการแต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนทำเองอยู่แล้ว" ประภากร จุลกะรัตน์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายกิจการโทรทัศน์และวิทยุแห่งบริษัทล็อกซเล่ย์แสดงทัศนะ

ในฐานะที่คลุกคลีอยู่กับการค้าอุปกรณ์ตั้งสถานีมานานเกือบ 10 ปีในบริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่า 60% ประภากรยืนยันว่าด้านเงินลงทุนสำหรับสถานีแห่งใหม่ไม่ได้แพงอย่างที่คิด โดยเฉพาะถ้าพูดถึงอุปกรณ์สถานี ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คืออุปกรณ์เครื่องส่งและอุปกรณ์ผลิตรายการนั้นยิ่งใช้เงินไม่เท่าไร หนึ่งสถานีโทรทัศน์ตกประมาณ 100 ล้านบาท ในขณะที่หนึ่งสถานีวิทยุราคา 5-10 ล้านบาท

เขากล่าวว่า "สถานีแต่ละแห่งราคาไม่เท่ากันขึ้นกับอุปกรณ์ที่เลือกใช้ ของดีราคาก็ต้องแพง ซึ่งในแง่ธุรกิจถ้าจะทำจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องเอาคุณภาพระดับปานกลาง และอุปกรณ์ทุกชนิดมีอายุการใช้งาน ถ้าบำรุงรักษาดีก็ใช้ได้ประมาณ 10 ปี แต่ถ้าเป็นทีวีคลื่นยูก็จะแพงกว่าวีด้วยเฉพาะเครื่องส่งอย่างเดียวให้ได้เขตบริการเท่ากันต้องใช้เงิน 40 ล้าน ไม่รวมอุปกรณ์อื่น แต่ถึงที่สุดรวมทุกอย่างก็ไม่ได้ต่างกันมาก"

โดยทั่วไปแล้วทุนกองใหญ่ที่ต้องใช้จึงไม่ใช่ส่วนของ HARDWARE แต่เป็นเรื่อง SOFTWARE มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เรื่องงบประมาณสูงหรือต่ำไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงให้มีแรงจูงใจที่ดีมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า นักธุรกิจที่ดีก็ย่อมจะไม่หวั่นไหวต่อจำนวนเม็ดเงินมหาศาลที่ต้องทุ่มลงไป

"ผมว่าทุกคนอยากลงทุนเพราะเป็นธุรกิจที่มีรายได้ดีพอสมควร แต่ถ้าเปิดกันมาก ๆ ก็น่าเป็นห่วง เพราะรายได้ของธุรกิจทีวี-วิทยุอยู่ที่ธุรกิจโฆษณาและเงินงบประมาณของโฆษณาเหมือนอยู่ในถ้วยกาแฟถ้วยหนึ่ง เพราะฉะนั้นตั้งสถานีเพิ่มรายได้ก็ต้องแบ่งออกไป กระจายออกมากขึ้น คนที่จะกระเทือนที่สุดก็คือสถานีที่มีอยู่แล้ว แต่ถ้าถามความเห็น ผมว่าเปิดไปเถอะเพราะจะทำได้ไม่มากหรอก" ประภากรกล่าว พร้อมกับระบุด้วยว่าถ้ามีโอกาสสำหรับเอกชนเมื่อใด ล็อกซเล่ย์เองก็เป็นผู้หนึ่งที่สนใจที่จะเป็นผู้บุกเบิก

ถ้ามองในเชิงเศรษฐศาสตร์วิทยุและโทรทัศน์ก็คือสินค้าและบริการสาธารณชน หรือเรียกว่า PUBLIC GOODS มีลักษณะสำคัญคือไม่เป็นปฏิปักษ์ในการบริโภค หมายถึงบริโภคโดยคนหนึ่งแล้ว ไม่เป็นเหตุให้คนอื่น ๆ ไม่ได้รับ และการบริโภคที่เพิ่มขึ้นไม่ก่อให้เกิดผลกระทบถึงต้นทุนการผลิต

ตามลักษณะเช่นนี้จึงจัดว่าเป็นสินค้าที่ไม่ควรคิดค่าบริการ แนวทางปฏิบัติคือรัฐบาลต้องเป็นผู้จัดสรรงบประมาณเพื่อทำหน้าที่บริการประชาชนซึ่งระบบของไทยก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ประชาชนต้องจ่ายค่าบริการทางอ้อมด้วย โดยการซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีราคาแพงขึ้นเพราะการโฆษณา

จริง ๆ แล้ววงเงินงบประมาณการโฆษณาหรือขนาดของ "ถ้วยกาแฟ" ที่ประภากรกล่าวถึงก็นับว่ามีขนาดใหญ่ไม่ใช่น้อย และจากสถิติแต่ละปีที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยตลอดด้วย

ในปี 2532 งบโฆษณาของโทรทัศน์มีเท่ากับ 4,957.9 ล้านบาท ขณะที่วิทยุมี 1,300 ล้านบาท ครั้นในปีที่ผ่านมาคือ พ.ศ. 2534 ถ้วยกาแฟของทั้งสองสื่อก็ขยายขึ้นเป็น 8,180.2 ล้านบาทและ 1,870 ล้านบาทตามลำดับ

เทียบกับปริมาณสื่อที่มีอยู่สัดส่วนนับว่าเข้ารูปอย่างดีพอสมควร เป็นเส้นทางที่มีความสดใส (อันเป็นเหตุให้หน่วยงานต่าง ๆ ขอเปิดสถานีกันมิได้ว่างเว้น) ยิ่งหากนับถึงผลตอบแทนในแง่ที่ไม่ใช่เงินกำไร แต่เป็นผลตอบแทนเชิงนามธรรม เช่นอิทธิพล อภิสิทธิ์ ฯลฯ ยิ่งเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวน

อย่างไรก็ตาม ถ้วยกาแฟหรือบ่อกาแฟที่มีอยู่นี้มิใช่ว่าทุกฝ่ายจะมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งเท่ากัน ภาวะการแข่งขันนั้นมีอยู่อย่างค่อนข้างรุนแรง หากเผอิญหน้าใหม่ ๆ มีโอกาสเข้าไปได้จริง จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งและมีสายป่านยาวพอสมควรทีเดียว หรือมิเช่นนั้นก็ต้องชัดเจนว่าจะทำอะไรเพื่ออะไร

"อาจต้องเลือกเอาว่า คุณจะทำเอาร่ำรวยหรือให้เกิดความภูมิใจ สำหรับผมต้องการหาสื่อทำงานไม่ใช่หาสื่อเพื่อแย่งโฆษณา ถ้าได้คลื่นและหาเงินลงทุนได้ผมจะทำให้เป็นสื่อที่คนทำภูมิใจได้ อาจจะเป็นแค่สถานีเล็ก ๆ แต่ไม่ต้องท้อแท้ ไม่ต้องคอยเหนื่อยหน่ายกับอำนาจที่มาปิดกั้นเราอยู่อย่างมีเกียรติไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมาก ๆ อย่างเช่นช่อง 3-5-7-9 " สมเกียรติ อ่อนวิมล ระบุถึงความมุ่งมั่นของเขาโดยเน้นว่าขอเพียงให้สามารถเป็นเจ้าของสถานีส่งได้เองเท่านั้น เรื่องอื่นล้วนไม่ใช่ปัญหา

ถ้าเป็นไปได้จริง แน่นอนว่ารูปแบบของสถานีคงจะต้องเปลี่ยนไปด้วย ทั้งสาเหตุจากการมีรัศมีอันจำกัดของคลื่น UHF และจากเงื่อนไขความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ซึ่งแนวทางที่จะเกิดขึ้นก็คือเมื่อผู้ผลิตมีมากขึ้นการแบ่งลักษณะตลาดก็จะต้องชัดเจนขึ้น สื่อแต่ละช่องจะต้องเจาะจงกลุ่มเป้าหมายของตนเองชัดเจนขึ้นและจำกัดในลักษณะเดียวกับที่สื่อนิตยสารทำอยู่

"การให้บริการจะเฉพาะด้านขึ้นเช่น เป็นสถานีเพื่อข่าว เพื่อกีฬา เพื่อเด็ก เป็นด้านภาพยนตร์ ด้านดนตรีคลาสสิก ฯลฯ" อรทัย ศรีสันติสุขแห่งคณะวารสารศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงที่หลายคนอยากให้เกิดขึ้น

ถ้าตัดข้อจำกัดทางด้านนโยบายออกไป การตั้งสถานีใหม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างแน่นอนเพียงแต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว การตัดข้อจำกัดบางข้อนั้นช่างยากเสียเหลือเกิน

อย่างไรก็ตาม เสรีภาพของประชาชนกับเสรีภาพของสื่อมวลชนนั้นเป็นเสมือนภาพที่ซับซ้อนทับกันแทบจะแนบสนิท ยากที่จะแยกขาดออกจากกันได้ ยิ่งระบบสังคมเปิดกว้างมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเติบโตมากขึ้น ประชาชนมีการศึกษาสูงขึ้นระบบการสื่อสารมวลชนก็ย่อมต้องได้รับการพัฒนาให้ก้าวไปพร้อมกับภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคม ทั้งในด้านของเทคโนโลยี การบริหารและการมีเสรีภาพ

ในทางกลับกันหากการปิดกั้นหรือครอบงำสื่อมวลชนยังคงมีอยู่ ไม่ว่าในรูปแบบใด หรือระดับใด แม้ว่าภาคอื่น ๆ จะก้าวหน้าไปไกลมากแค่ไหนสังคมนั้นก็ยังไม่อาจนับว่าศิวิไลซ์จริง ซึ่งในท่ามกลางกระแสเสรีที่ไหลเชี่ยวกรากไปทั่วโลกขณะนี้การปิดกั้นและการครอบงำย่อมไม่อาจต้านทานอยู่ได้นาน หากยิ่งฝืนมากก็ยิ่งต้องภินท์พังมาก

และนี่คือสัจธรรม ……

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us